SCB CIO แนะปรับพอร์ตลงทุน “หุ้นอินโด” ทางรอด SET ผันผวน

SCB CIO แนะจัดพอร์ต “ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย” ลงทุน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเด่น กลุ่มการเงิน-สุขภาพ-สินค้าบริโภค-พลังงาน รวมถึงภาควัสดุ รับมือตลาดผันผวน


SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ท่ามกลางความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศชั้นนำ รวมถึงเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ยังมีเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่อย่างอินโดนีเซีย ที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวและเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ยังมีช่องว่างให้พัฒนาและขยายการลงทุนได้

สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกเหนือจากตลาดเวียดนามที่นักลงทุนไทยคุ้นเคยแล้ว ตลาดอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและมีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ขนาดตลาดที่ใหญ่และทรัพยากรที่มีมาก

สำหรับบทวิเคราะห์นี้ SCB CIO อยากชวนทุกคนมารู้จักตลาดอินโดนีเซียมากขึ้นผ่าน 5 คำถามสำคัญ ได้แก่ 1) โครงสร้างเศรษฐกิจอินโดนีเซียเป็นอย่างไร แตกต่างกับเศรษฐกิจไทยและเวียดนามอย่างไร 2) วัฏจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียอย่างไร 3) ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ นโยบายการเงินตึงตัว และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินอินโดนีเซียในระยะสามปีข้างหน้าอย่างไร  4) โครงสร้างตลาดทุนของอินโดนีเซียเป็นอย่างไร แตกต่างกับตลาดหุ้นไทยและเวียดนามอย่างไร และ 5) มูลค่าของตลาดหุ้นอินโดนีเซียเป็นอย่างไร หุ้นกลุ่มไหนเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่ถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 6 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และใหญ่เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน ขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวค่อนข้างดีต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

รวมถึงฟื้นตัวได้ดีจากวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 โดยในปี 2558-2562 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี ก่อนที่จะหดตัวในปี 2563 ลดลง 2.1% และฟื้นตัวในปีถัดมาที่ 3.7% โดยล่าสุดในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัว 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ส่วนโครงสร้างเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการใช้จ่ายในประเทศเป็นสำคัญ (Domestic demand-led growth) ซึ่งแตกต่างจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และเวียดนามที่พึ่งพาภาคการส่งออกสินค้า และบริการในสัดส่วนที่มากกว่าอินโดนีเซีย

โดยพิจารณาจาก 1) สัดส่วนของการบริโภคของเอกชนและการลงทุนรวมในประเทศเฉลี่ยในช่วงปี 2555-2563 ของอินโดนีเซียที่สูงถึง 91% ต่อมูลค่า GDP เทียบกับภาคส่งออกที่มีเพียง 21% ขณะที่ประเทศไทยและเวียดนามมีสัดส่วนภาคส่งออกสูงถึง 64% และ 95% ตามลำดับ และ 2) การใช้จ่ายในประเทศเป็นภาคเศรษฐกิจหลักขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจในอินโดนีเซีย (Contribution to GDP growth) กล่าวคือ GDP ในช่วงปี 2555-2562 ซึ่งไม่นับในปี 2563-2564 ที่เศรษฐกิจในประเทศเผชิญวิกฤตโควิด-19 ที่ขยายตัวเฉลี่ย 5.2% ต่อปี มาจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนในประเทศสูงถึง 4.7%

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้การใช้จ่ายในประเทศของอินโดนีเซียเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญและขยายตัวโดดเด่นเมื่อเทียบกับภาคการส่งออก ได้แก่ 1) ขนาดประชากรที่ใหญ่ อายุเฉลี่ยต่ำ และรายได้เติบโตดี 2) ทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำนวนมาก และ 3) ต่างชาติเข้ามาลงทุนทางตรง (Foreign Direct Investment: FDI) ค่อนข้างมาก สำหรับปัจจัยด้านประชากร อินโดนีเซียเป็นตลาดการบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาเซียนด้วยจำนวนประชากรที่มากถึงเกือบ 300 ล้านคน และอยู่ในวัยที่กำลังก่อร่างสร้างตัวและมีความต้องการในการจับจ่ายใช้สอยสูงด้วยอายุเฉลี่ย(ค่ามัธยฐาน) อยู่ที่ 30 ปี แตกต่างจากประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (อายุเฉลี่ยค่ามัธยฐาน 40 ปี) ที่มักมีพฤติกรรมเริ่มเน้นการออมมากขึ้นและบริโภคน้อยลงเมื่อเทียบกับสัดส่วนของรายได้

ขณะที่คุณภาพของประชากรอินโดนีเซียก็อยู่ในแนวโน้มที่ดีสะท้อนจาก 1) จำนวนประชากรในเขตเมืองที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่สัดส่วนเกือบ 60% ของประชากรทั้งประเทศ และมากกว่าไทยและเวียดนามที่มีสัดส่วน 52% และ 38%

2) รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงอยู่ที่ 13,099 ดอลลาร์/ปี สูงกว่าเวียดนามที่ 11,534 ดอลลาร์/ปี ถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าประเทศไทย แต่แนวโน้มการขยายตัวในอีก 5 ปีข้างหน้าอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศไทย (คาดการณ์โดย IMF)

นอกจากนี้ การบริโภคของครัวเรือนในอินโดนีเซียยังได้ปัจจัยเร่งจากการเติบโตของเศรษฐกิจ Digital โดยเฉพาะการเข้าถึงสินเชื่อและการใช้จ่ายผ่าน e-wallet โดยในปี 2560-2562 ปริมาณธุรกรรม e-money เพิ่มขึ้นเกือบ 12 เท่าสู่ระดับ 145tn IDR ขณะที่เงินกู้สะสมในรูปแบบ P2P เพิ่มขึ้น 37 เท่า

สำหรับปัจจัยด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งอินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตทรัพยากรด้านพลังงานและโลหะภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยอินโดนีเซียสามารถผลิตถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ นิกเกิลและทองแดงสูงเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มอาเซียน

โดยโลหะภัณฑ์ นิกเกิลและทองแดง มีความสำคัญต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแบตเตอรี่รถยนต์ EV ที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตและเป็นอุตสาหกรรมอนาคตของโลก ขณะที่ไทยและเวียดนามแทบไม่มีการผลิตโลหะภัณฑ์ดังกล่าวเลย

สำหรับปัจจัยด้านการลงทุนทางตรงของต่างชาติ (FDI) ผลจากตลาดผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่และทรัพยากรธรรมชาติที่มากของอินโดนีเซีย ท่ามกลางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีช่องว่างในการพัฒนาอยู่มาก ทำให้อินโดนีเซียเป็นแหล่งลงทุน FDI ที่น่าสนใจสำหรับบริษัทข้ามชาติและนักลงทุนต่างชาติเห็นได้จากเม็ดเงินลงทุน FDI สุทธิสะสมและอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของอินโดนีเซียที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงไทยและเวียดนาม

ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของ FDI ในระยะข้างหน้าของอินโดนีเซียยังมีโอกาสขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ EV หนึ่งในกระแสการลงทุน ESG ซึ่งนิกเกิลเป็นส่วนสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ EV

ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นแหล่งผลิตนิกเกิลรายใหญ่ของโลกด้วยส่วนแบ่งตลาดที่สูงถึงเกือบ 40% ในปี 2564  ทำให้อินโดนีเซียเป็นที่สนใจของบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ EV ให้เข้ามาลงทุน เช่น โครงการลงทุนเพื่อผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ EV ในอินโดนีเซียของกลุ่มทุนเกาหลี Hyundai-LG และ JV: Indonesia Battery Corp (IBC)-LG group ซึ่ง JV มีเม็ดเงินลงทุนอยู่ราว 9.8 พันล้านดอลลาร์ และโครงการลงทุนของ Contemporary Amperex Technology (CATL) จากจีนที่มีเม็ดเงิน 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจที่ผ่านมาของอินโดนีเซีย ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัตถุดิบสำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์เช่นกัน

ทั้งนี้จะพบว่าในช่วงที่ราคาสินค้าพลังงานและโลหะภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลบวกในอีกประมาณ 1 ปีถัดมาต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจผ่านการส่งออกและการลงทุนในประเทศ ต่อเนื่องมายังรายได้และการจ้างงานของครัวเรือน นำมาสู่การบริโภคภาคเอกชนให้ดีขึ้น รวมไปถึงคุณภาพสินเชื่อก็ปรับตัวดีขึ้นตามมาในท้ายที่สุด

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นและค่าเงินก็ได้อานิสงส์ด้านบวกด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาสินค้าพลังงานและโลหะภัณฑ์ลดลง จะส่งผลให้ภาคส่งออกของอินโดนีเซียหดตัวลงตาม และการลงทุนชะลอตัวลงมาก ตัวอย่าง เช่น ในช่วงปี 2554-ครึ่งปีแรก 2556 ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับสูง การลงทุนในประเทศขยายตัวสูงถึง 8-9% เทียบกับช่วงปี 2558-ครึ่งปีแรก 2560 ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำ การลงทุนขยายตัวเพียงประมาณ 4-5%

อย่างไรก็ตาม การบริโภคของเอกชนกลับขยายตัวชะลอลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับภาคส่งออกและลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่า ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางและการขยายตัวของภาคธุรกิจอื่นๆ ในประเทศ โดยเฉพาะภาคบริการที่ปัจจุบันมีน้ำหนักใน GDP สูงถึงเกือบ 50% มากกว่าภาคอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วน 40% เทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนที่ภาคบริการมีสัดส่วน 40% น้อยกว่าภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ 45%

ดังนั้น ในระยะหลังนี้ วัฏจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจผ่านการส่งออกและการลงทุน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพลังงาน แต่ผลกระทบรุนแรงน้อยลงจากอดีต เนื่องจากได้ปัจจัยบวกจากการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางที่ช่วยประคับประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หากการลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่รุนแรงและยาวนาน

นอกจากนี้ การสนับสนุนการลงทุนที่เกาะกระแส ESG เช่น รถยนต์ EV ที่มีแนวโน้มอุปสงค์เติบโตต่อเนื่อง ก็อาจช่วยลดทอนผลกระทบของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาพลังงานลงมาได้บ้าง รวมถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ นโยบายการเงินตึงตัว และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินอินโดนีเซียในระยะสามปีข้างหน้าอย่างไร

ส่วนในภาวะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงเงินเฟ้อสูง แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวลง แต่ดูเหมือนว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการเงินของอินโดนีเซีย โดยรวมในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แนวโน้มในระยะ 3 ปีข้างหน้าก็ยังไม่น่ากังวล

ทั้งนี้ หากพิจารณาจาก 1) ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ในปี 2565 เกินดุล 4.5% ของ GDP  ในระยะ 3 ปีข้างหน้าการขาดดุลอยู่ในระดับต่ำไม่เกิน 2% ของ GDP (คาดการณ์โดย IMF) ทั้งนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับต่ำๆ ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีความต้องการลงทุนสูง เนื่องจากสะท้อนถึงสัดส่วนการลงทุนที่มีมากกว่าการออม บ่งชี้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะที่ดุลการคลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากในอดีต (คาดการณ์โดย IMF)

2) ภาระหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนยังอยู่ในระดับต่ำ หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ถือว่าเป็น Buffer สำคัญที่จะช่วยรับมือในช่วงที่เกิดวิกฤต

3) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าและบริการ รวมถึงเทียบกับมูลค่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ขณะที่ค่าเงิน IDR ก็ไม่ผันผวนในทิศทางอ่อนค่ารุนแรงเหมือนในอดีต และล่าสุดที่ค่าเงินของหลายประเทศในเอเชียกำลังเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของ USD จะพบว่า IDR อ่อนค่าเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ JPY, KRW, INR และ THB (Analyst consensus by Bloomberg มีมุมมองต่อค่าเงิน IDR เทียบ USD จะทยอยกลับมาแข็งค่าหลังจาก BI ปรับขึ้นดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้

ทั้งนี้ ส่งผลให้ IDR/USD สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 14,650 และสิ้นปีในปี 2567 อยู่ที่ 14,617 และในปี 2568 อยู่ที่ 14,500 จากปัจจุบันที่ IDR/USD อยู่ที่ 14,969 ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 และเฉลี่ย YTD อยู่ที่ 14,478

4) แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวจากประเทศชั้นนำ กดดันต่อตลาดเงินอินโดนีเซียไม่มากเท่ากับในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากตลาดพันธบัตรของอินโดนีเซียมีสัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งมาจากการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางอินโดนีเซียในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโรคระบาดโควิด-19

5) ทิศทางของเงินเฟ้อสูงยังไม่กดดันให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรง แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปเดือน มิถุนายน จะทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี แต่ธนาคารกลางฯ ให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมากกว่า ซึ่งเดือน มิถุนายน ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาด ผลจากการดูแลค่าครองชีพของรัฐบาลทำให้ราคาสินค้าไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก

ขณะที่ความสามารถในการดูแลราคาสินค้าของรัฐบาลในระยะถัดไปยังคงมีอยู่ หากพิจารณาจากการขาดดุลการคลังและหนี้ภาครัฐที่ต่ำ แตกต่างจากในอดีตที่ความสามารถในการสนับสนุนของภาครัฐมีไม่มาก

ทั้งนี้ Analyst consensus by Bloomberg คาดว่าธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งหลังของปี 2565 ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ 3.50% จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 4.25-4.50% ในสิ้นปี 2565 (BI เหลือการประชุมนโยบายการเงินอีก 6 ครั้งในปีนี้) และ 4.75-5.00% ในสิ้นปี 2567 ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้เฉลี่ยอยู่ที่ 5.1-5.2% ในช่วงปี 2565-2567 ซึ่ง IMF คาดว่า GDP ของอินโดนีเซียจะขยายตัวอยู่ในช่วง 5.0-6.0% ในปี 2565-2567

สำหรับโครงสร้างตลาดหุ้นอินโดนีเซียในแง่ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ซึ่งมีหุ้นในกลุ่มธุรกิจการเงินเป็นกลุ่มหลัก รองลงมาจะกระจายตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มวัสดุ, และ กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น

นอกจากนี้ มูลค่าตลาดยังกระจุกตัวอยู่ในหุ้น 10 บริษัทแรก ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ 50% ของมูลค่าตลาด คล้ายคลึงกับตลาดเวียดนาม โดยกลุ่มธุรกิจการเงินมีมูลค่าในตลาดหุ้นอินโดนีเซียถึง 1 ใน 3 เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นในเวียดนาม แม้ว่าในกลุ่มธุรกิจการเงินจะมีหุ้นอยู่ในกลุ่มกว่า 100 บริษัท แต่เกือบ 70% ของมูลค่าของกลุ่มมาจากธนาคารขนาดใหญ่ 3 แห่ง คือ Bank Rakyat Indonesia, Bank Central Asia และ Bank Mandiri

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดรองลงมาจะกระจายตัวอยู่ใน 5 กลุ่มธุรกิจที่มีน้ำหนักอยู่ในตลาดประมาณ 8-15% ของตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดย 3 ใน 5 กลุ่มเกี่ยวข้องกับการบริโภคและภาคบริการ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีหุ้นอยู่ในกลุ่มกว่า 100 บริษัท แต่มูลค่าเกินครึ่งของกลุ่มมาจาก GoTo Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ platform เช่น GOJEK กลุ่มสื่อสาร ซึ่งมีมูลค่าเกินครึ่งของกลุ่มถูกครอบงำโดย Telkom ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้น 50% และ กลุ่ม Consumer staples เป็นหุ้นตัวใหญ่ในกลุ่มนี้ คือ CP Indonesia, Alfamart, Indofood และ Uniliver Indonesia)

ส่วน 2 ใน 5 กลุ่มที่เหลือเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสำคัญ ได้แก่ กลุ่มภาควัสดุ เป็นหุ้นในกลุ่มนี้ค่อนข้างกระจายตัว โดย Top 3 คือ Merdeka Copper Gold, Chandra Asri Petrochemical และ Barito Pacific ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตไฟฟ้าและปิโตรเคมี) และกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 60%ของกลุ่มถูกครอบงำโดย Top 3 ได้แก่ Bayan Resources ผู้ผลิต Coal, United Tractors จำหน่ายเครื่องจักรหนัก ทำเหมือง ถ่านหินและทอง และ Adaro Energy ทำเหมือง Coal

โดยรวมมีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อตลาดหุ้นอินโดนีเซีย มูลค่าตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังมีความน่าสนใจ หากพิจารณาจาก ซื้อขายบน P/E ที่อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยแนวโน้มของกำไรในตลาดหุ้นอินโดนีเซียยังเติบโตได้ดี

โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นใหญ่และกลาง ล่าสุด MSCI-Indonesia มี valuation ในด้านซื้อขายบน P/E อยู่ในระดับ 14 เท่า โดยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก (-1.4 sd) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2565-2566 มีโอกาสเร่งตัวขึ้นอยู่ที่เฉลี่ย 12% ต่อปีเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งขยายตัวเพียง 7% ต่อปี

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับระดับภูมิภาคอย่างตลาดหุ้นไทยและเวียดนาม ตลาดอินโดนีเซียยังมีความน่าสนใจในแง่ของความผันผวนที่ต่ำกว่าคู่แข่งและกำไรที่เติบโตได้ดี แม้ว่าราคาหุ้นจะแพงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดเวียดนาม ส่วนหนึ่งมาจากราคาที่ปรับลดลงมากของหุ้นเวียดนาม

ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ Market cap, Return, EPS และ P/E รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ จะพบว่า  กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1) กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของการบริโภคของครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลาง และการขยายตัวของธุรกิจบริการ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจใหม่อย่างธุรกิจ Platform

2) กลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุ ที่ได้อานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่ในระยะสั้นผลบวก เริ่มมีข้อจำกัดจากแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำลังเข้าสู่ระดับสูงสุด อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ EV น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนในกลุ่มภาควัสดุ

Back to top button