
GULF ปั๊มรีนิวหมื่นเมก ดันกำไรเติบโตยาว 10 ปี! งบปีนี้แตะ 2.7 หมื่นล้าน ชูเป้า 72 บาท
GULF เดินหน้าแตะเป้าพลังงานหมุนเวียน 40% ก่อนปี 2578 ล่าสุดลงทุน 1,100 ล้านบาท ในโรงไฟฟ้าขยะ 12 แห่ง–โรงงานเชื้อเพลิง 3 แห่ง บล.บัวหลวงเชียร์เป้า 72 บาท คาดกำไรปีนี้โต 26% แตะ 27,000 ล้านบาท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ปัจจุบัน GULF ได้บรรลุเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เป็น 40% หรือคิดเป็น 10,000 เมกะวัตต์ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว (25,500 เมกะวัตต์) จากเดิมตั้งไว้ภายในปี พ.ศ. 2578 ถือว่าเร็วกว่าแผนเดิมค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593
ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนเพิ่มโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 12 โครงการ กำลังการผลิตตามสัญญารวม 96 เมกะวัตต์ และโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม (Solid Recovered Fuel: SRF) จำนวน 3 โครงการ ผ่านบริษัท กัลฟ์ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (GWTE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100%
โดยเมื่อวันที่ 14 ก.ค. GWTE เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดที่บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC ที่ถือในโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม และซื้อหุ้นทั้งหมดที่บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ที่ถือโครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,100 ล้านบาท ส่งผลให้โครงการทั้งหมดดังกล่าว เป็นบริษัทย่อยของ GWTE
ทั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้น 1) โครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมภายใต้บริษัท เก็ท กรีน พาวเวอร์ จำกัด จำนวน 10 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 80 เมกะวัตต์ ซึ่งเดิม GWTE และ ETC ถือหุ้นเท่ากันในสัดส่วน 50% เป็น GWTE ถือหุ้นในสัดส่วน 100%
2) โครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ภายใต้บริษัท ซันเทค อินโนเวชั่น พาวเวอร์ จำกัด จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 16 เมกะวัตต์ เดิม GWTE, ETC และบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) ถือหุ้นในสัดส่วน 34%, 33% และ 33% ตามลำดับ เป็น GWTE และ WTX ถือหุ้นสัดส่วน 67% และ 33% ตามลำดับ และ 3) โรงงานผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะอุตสาหกรรม ภายใต้บริษัท เซอร์คูลาร์ แคมป์ จำกัด จำนวน 3 โครงการ เดิม GWTE และ BWG ถือหุ้นเท่ากันสัดส่วน 50% เป็น GWTE ถือหุ้นสัดส่วน 100%
อย่างไรก็ตาม บริษัทเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของโครงการระยะยาว และเชื่อมั่นว่าการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างความคล่องตัวในการบริหารจัดการโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมทั้งหมด 12 โครงการดังกล่าว ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟภ.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2570
ขณะที่โครงการโรงงานผลิตเชื้อเพลิงจากขยะอุตสาหกรรมมีกำหนด COD ในปีเดียวกัน ทั้งนี้หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมในการพัฒนาโครงการ บริษัทจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2568 มีมติอนุมัติให้กลุ่มบริษัทย่อยของบริษัท ดำเนินการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ภายใต้กลุ่มบริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด หรือ GRE ที่มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ระหว่างปี 2569-2570 จำนวน 11 โครงการ กำลังการผลิตตามสัญญารวม 746.6 เมกะวัตต์ (MW) โดยโครงการดังกล่าวได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะเวลา 25 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 42,000 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 บริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด หรือ GRE ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกัลฟ์ ได้เข้าลงทุนใน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท กันกุล โซลาร์ พาวเวอร์เจน จำกัด หรือ GSPG และบริษัท กันกุล วัน เอ็นเนอร์ยี่ 2 จำกัด หรือ GOE2 ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ถือหุ้นอยู่ 100% โดย GRE เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ของทุนจดทะเบียนใน 2 บริษัท รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 704 ล้านบาท ขณะที่ GUNKUL ถือหุ้นในสัดส่วนที่เหลืออีก 50%
โดย GSPG และ GOE2 เป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีโครงการภายใต้ 2 บริษัทดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 9 โครงการ กำลังการผลิตตามสัญญารวมทั้งสิ้น 460.8 MW โดยแบ่งเป็น solar farms จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 410.2 MW และ solar farms with battery energy storage systems จำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 50.6 MW ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวทั้งหมดได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2569-2573 โดยภายหลังจากที่ GRE เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ใน 2 บริษัทดังกล่าว ทำให้ GRE มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของบริษัท (Equity MW) รวมทั้งสิ้น 230.4 MW
: กัลฟ์ปั๊มรีนิวดันกำไร
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้น GULF ถือว่าเป็นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่แข็งแกร่งที่สุดขณะนี้ โดยมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรเป็นตัวเลขสองหลักตลอด 10 ปีข้างหน้า จากการขยายพอร์ตพลังงานทดแทน โดยเฉลี่ยปีละ 500-600 เมกะวัตต์ โดยประมาณการกำไรสุทธิของ GULF ปีนี้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในปี 2569 คาดกำไรสุทธิ 2.89 หมื่นล้านบาท และปี 2570 กำไรสุทธิ 3.1 หมื่นล้านบาท
สำหรับพลังงานทดแทนของกลุ่มกัลฟ์ มีกว่า 10,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในประเทศ 5.5 พันเมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ส่วนในต่างประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนปากแบง เขื่อนปากลาย และเขื่อนหลวงพระบาง รวม 247 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง ที่อังกฤษ 1.5 พันเมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง ที่เยอรมนี 465 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ GULF ยังมีโรงไฟฟ้าประเภทอื่นอีก กำลังผลิต 1.5 หมื่นเมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในประเทศไทย 1.3 หมื่นเมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP และโรงไฟฟ้า SPP ขณะที่ในต่างประเทศ มีโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ ในสหรัฐอเมริกา 1.2 พันเมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซในโอมาน 326 เมกะวัตต์
ดังนั้นกรณี GULF ทยอยซื้อโรงไฟฟ้าเข้ามาในพอร์ต โดยเฉพาะพลังงานทดแทน จะช่วยเพิ่มกำไรให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเข้าร่วมประมูลขายไฟฟ้าพลังานทดแทนของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ยังมีเหลืออีกจำนวนมากตามแผน PDP ฉบับใหม่
“กำไรของกัลฟ์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปซื้อโรงไฟฟ้า และเข้าร่วมประมูลพลังงานทดแทนในประเทศ ขณะที่บริษัทสามารถก่อหนี้เพิ่มได้อีกมาก หลังจากควบรวมกิจการกับอินทัช”
ทั้งนี้ให้ราคาเป้าหมาย GULF ที่ 72 บาท ราคาปัจจุบันถือว่ายังอยู่ในระดับ P/E ที่ต่ำแค่ 20 เท่า เทรดที่ระดับราคา 42-43 บาทเท่านั้น และประเมินเงินปันผลปีนี้ ที่ 1.5 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีที่ 3-4%
: BWG-ETC รับทรัพย์พันล้าน
นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายไปเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท เซอร์คูลาร์ แคมป์ จำกัด (CC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทให้กับผู้ซื้อ โดยจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน CC จำนวน 12,499,999 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% โดยราคาหุ้นละไม่เกิน 20 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 249,999,980 บาท
ขณะเดียวกัน ยังอนุมัติการจำหน่ายไปเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท เก็ท กรีน พาวเวอร์ จำกัด (GGP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท ที่บริษัทถือหุ้นผ่านบริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท โดย ETC จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่ ETC ถืออยู่ใน GGP จำนวน 3,749,999 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 50% ราคาหุ้นละไม่เกิน 193.33 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 724,999,806.67 บาท
นอกจากนี้ ยังอนุมัติการจำหน่ายไปเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท ซันเทค อินโนเวชั่น พาวเวอร์ จำกัด (SIP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทางอ้อมของบริษัท ที่บริษัทถือหุ้นผ่าน ETC โดย ETC จำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่ ETC ถืออยู่ใน SIP จำนวน 825,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 33% ราคาหุ้นละไม่เกิน 151.52 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 125,000,000 บาท
นายศุภวัฒน์ คุณวรวินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETC กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2568 มีมติอนุมัติให้บริษัทจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท เก็ท กรีน พาวเวอร์ จำกัด (GGP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทให้กับ บริษัท กัลฟ์ เวสท์ ทู เอ็นเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด โดยจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน GGP จำนวน 3,749,999 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 50% ราคาหุ้นละไม่เกิน 193.33 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 724,999,806.67 บาท
ขณะเดียวกัน ยังอนุมัติให้บริษัทจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท ซันเทค อินโนเวชั่น พาวเวอร์ จำกัด (SIP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของบริษัท โดยจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ใน SIP จำนวน 825,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 33% ราคาหุ้นละไม่เกิน 151.52 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 125,000,000 บาท