YONG ปักหมุดเทรด mai 2 ส.ค.นี้ ระดุมทุน 450 ลบ. ขยายธุรกิจรองรับดีมานด์คอนกรีต

YONG ลงสนามเทรด mai 2 ส.ค.นี้ ขายไอพีโอ 180 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.50บ./หุ้น ระดุมทุน 450 ลบ. ใช้ก่อสร้างโรงงานขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการคอนกรีต และงานก่อสร้างของประเทศ


นายสรรเพชญ ศลิษฏ์อรรถกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ YONG ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ และให้บริการติดตั้งโครงสร้างสำเร็จรูป พร้อมด้วยนายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น YONG ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกันภายหลังลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน (IPO) ของ YONG ร่วมกับ ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทหลักทรัพย์ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)

โดยนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัท ยงคอนกรีต จำกัด (มหาชน) จำนวน 180 ล้านหุ้น ได้กำหนดราคาเสนอขายที่ 2.50 บาท/หุ้น กำหนดเปิดให้จองซื้อในวันที่ 21-22 กรกฎาคม และ 25 กรกฎาคมนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างวันที่ 2 สิงหาคม 2565 ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “YONG”

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.50 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 26.10 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทฯ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 65.14 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ เท่ากับ 680.00 ล้านหุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.096 บาท สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ YONG ด้วยผลประกอบการที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน YONG ได้จัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจ และจุดเด่นของ YONG โดยทีมผู้บริหารซึ่งมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญมากว่า 30 ปี ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจน มาตรฐานและความปลอดภัย ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีความรู้ความสามารถในการผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์และบริการจนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐบาลและเอกชน และเชื่อมั่นว่า YONG จะได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน เป็นอีกหุ้นคุณภาพที่เติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงการเมกะโปรเจ็กต์ รวมทั้ง การขยายตัวของเมือง และที่อยู่อาศัย เป็นรากฐานของอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศไทยต่อไปในอนาคต

นายสรรเพชญ ศลิษฏ์อรรถกร กรรมการผู้จัดการ YONG เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ YONG ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 450 ล้านบาท (ก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์) ไปใช้สำหรับ (1) ใช้เป็นเงินลงทุนในการก่อสร้างโรงงานที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม จำนวน 120 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้อง (2) ใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จ ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี จำนวน 20 ล้านบาท (3) ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน จำนวน 120 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ (4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนดังกล่าวภายในปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท ทั้งในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตเดิม และการเปิดโรงงานการผลิตใหม่

อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทเข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งนี้จะพิจารณาการใช้เงินทุนหมุนเวียนในกิจการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้น และเพื่อการเติบโตในอนาคต

โดยปัจจุบัน YONG มีโรงงาน 7 แห่ง และถือเป็นผู้ผลิตคอนกรีตรายใหญ่โซนภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก โดยมีสำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปและคอนกรีตผสมเสร็จ (โรงงานท่าม่วง) อยู่ที่ จ.กาญจนบุรี และมีโรงงานสาขาอีก 6 แห่ง แบ่งตามจังหวัดที่ตั้ง ได้แก่ ที่ จ.กาญจนบุรี ประกอบด้วย โรงงานวังสารภีและโรงงานทองผาภูมิ รวมทั้ง จ.นครปฐม ประกอบด้วย โรงงานหนองดินแดงหรือโรงงานนครปฐม โรงงานบางเลน และโรงงานนครชัยศรี และโรงงานที่จ.ชลบุรี ซึ่งโรงงานทั้งหมดนั้น สามารถแบ่งได้เป็น โรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป 3 แห่ง สำหรับผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง เสาคานคอนกรีต รั้วคอนกรีต ท่อคอนกรีตอัดแรก และขอบคันหิน ผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นสำเร็จรูป แผ่นพื้นมอเตอร์เวย์ แผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูป-Precast เป็นต้น

นอกจากนี้มีโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ 6 แห่ง ที่นอกจากจะผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อใช้ในการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปแล้ว ยังผลิตคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอก

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ประกอบด้วยกลุ่ม บริษัท กลุ่มยง จำกัด รวมครอบครัวศลิษฏ์อรรถกร ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 98.80% และ 72.65% ตามลำดับ และนายอุทัย ฉัตรศิริ ในสัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่  1.20% และ 0.88% ตามลำดับ

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ YONG เปิดเผยว่า สำหรับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตสำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ มีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเป็นหลัก รวมถึงการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน โดยโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ในภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา โดยจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อสามสนามบิน เป็นต้น ส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้างจากผู้ประกอบการในแถบพื้นที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทเนื่องจากสามารถที่จะจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดย YONG มีโรงงานผลิตที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี และมีแผนการลงทุนในอนาคตที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปที่จังหวัดระยอง ขณะที่การลงทุนจากภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ YONG มีสัดส่วนรายได้จากการขายและให้บริการ ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ลูกค้าโครงการภาคเอกชนอยู่ที่ 34.81% กลุ่มลูกค้าโครงการภาครัฐ 3.43% และกลุ่มลูกค้าทั่วไป 61.76% และมีรายได้รวมในงวดไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 240.14 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที 240.47 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 19.35 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8.06% โดยอัตรากำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1 ปีนี้ ปรับตัวดีขึ้นจากงวดปี 2564 ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.82% และจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้มากกว่า 30% ของรายได้จากการขายและบริการในการดำเนินงานมาโดยตลอด

Back to top button