“ทรงกลด” ชู 8 หุ้นท็อปพิก! พื้นฐานแกร่ง เมินเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

“ทรงกลด” ชี้ SET กระทบจำกัดจากเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย ชู 8 หุ้นท็อปพิกพื้นฐานแกร่ง นำโดย BCH-BH-MINT-BA-SHR-EA-NEX-CKP และ NEX คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,629 จุด โชว์ EPS ที่ 101 บาท สูงกว่าบลูมเบิร์กคอนเซนซัสประเมินไว้ 97.7 บาท


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ตลาดหุ้นไทยประจำเดือนสิงหาคม 2565 โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบที่จำกัดจากสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และยังมอง EPS ตลาดหุ้นไทยปีนี้โตกว่าตลาดคาด

ทั้งนี้ FSSIA คาดว่าดัชนี SET ในครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวในช่วง 1,480-1,629 จุด ผลักดันโดยเศรษฐกิจที่ แข็งแรง และดีขึ้น รวมถึงการเติบโตของกำไรจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ด้านปัจจัยภายนอก เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอเมริกา อียู และญี่ปุ่น รวมถึงราคาพลังงานที่ยังสูงต่อเนื่อง FSSIA  มีความมั่นใจว่าดาวน์ไซด์ตลาดหุ้นไทยจะจำกัดอยู่ที่ 5-10% โดยจุดต่ำสุดคาดจะอยู่ที่ 1,480 จุด หนุนโดยการฟื้นโตของการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่คาดอยู่ที่ 3% และ 4%ในปี 2565 งบดุลและเงินสำรองที่แข็งแกร่ง ระบบการเงินธนาคารที่ดี และมีการอุปโภคบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงรายได้ผลิตผลเกษตร และรายได้จากการท่องเที่ยว

ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.5% ในเดือนสิงหาคมนี้เป็น 1% ซึ่งจะเป็นเพียงการขึ้นหนึ่งครั้งในปีนี้ เมื่อเทียบกับเฟดที่ขึ้นหลายครั้ง และคาดจะอยู่ที่ 4% ในสิ้นปี แสดงให้เห็นถึงความต่าง 3% ระหว่างนโยบายการเงินของไทย และสหรัฐฯ

โดยสาเหตุที่ทำให้ไทยสามารถรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำได้เนื่องมาจากการท่องเที่ยว ส่งออก การอุปโภคบริโภคในประเทศ FDI สูงใน EEC และ EV นอกจากนั้นแล้วยังมีเงินทุนสำรอง และงบดุลที่แข็งแกร่ง ในขณะที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี

ทั้งนี้ FSSIA ยังคงเป้า SET Index ในปีนี้ที่ 1,629 จุด โดยมี EPS อยู่ที่ 101 บาท ซึ่งสูงกว่าที่บลูมเบิร์กคอนเซนซัสให้ไว้ที่ 97.7 บาท และให้หุ้นท็อปพิกทั้งหมด 9 หุ้นได้แก่

สำหรับบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH แนะนำราคาเป้าหมาย 28.50 บาท โดยมี 4 ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาหุ้นได้แก่ 1) รายได้ออแกนิกในไตรมาส 2/2565 คาดเหนือกว่าช่วงก่อนโควิด 16% 2) อัพไซด์จากอุปทานที่อัดอั้นจากผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง 3) เงินประกันสังคมที่คาดจะปรับเพิ่ม และ 4) มูลค่าถูกและกำไรปี 2565 คาดสูงกว่าช่วงก่อนโควิด 72%

ด้านบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH แนะนำราคาเป้าหมาย 210 บาท คาดว่าพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว โดย BH ยังเป็นโรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆในระดับพรีเมี่ยม มีปัจจัยหลักในการเติบโตคือ 1.การฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติ และ 2.โมเดลธุรกิจใหม่ที่จะช่วยให้เจาะตลาดลูกค้าระดับกลาง ซึ่ง BH ซื้อขายอยู่ที่ 34 เท่า  P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 38 เท่า ปัจจัยบวกระยะสั้นคาดจะเป็นผู้ป่วยจากตะวันออกกลางที่มาพร้อมกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในไตรมาสสาม ส่วนในระยะยาวมีอัพไซด์จากผู้ป่วยจากซาอุฯ

ด้านบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 43 บาท จากการที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และคาดจะกลับมาบุ๊คกำไรหลัก 1.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 2/2565 จากการฟื้นตัวของโรงแรมในยุโรปเหนือช่วงก่อนโควิด โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าพ้นจุดต่ำสุดแล้ว และการดำเนินงานจะอยู่ในช่วงฟื้นตัว

ส่วนบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ราคาเป้าหมาย 16 บาท การเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจสนามบินคาดจะเป็นปัจจัยผลักดันสำหรับ BA ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนด้านกำไรจากธุรกิจสายการบินได้ โดยได้โอนกองทุนรวมอสังหาริทรัพย์สนามบินสมุยให้กับ REI ซึ่งมองว่าเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยปลดล็อคมูลค่าของสนามบินสมุย ในขณะที่ยังรักษาอัพไซด์ และจำนวนผู้โดยสารที่สูงขึ้นหลังทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากโควิด

ขณะที่บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR แนะนำราคาเป้าหมาย 5.20 บาท คาดว่าจะกลับมาเห็นกำไรในไตรมาส 3/2565 จากช่วงไฮซีซั่นใน UK โดย RevPAR รายได้ห้องพักเฉลี่ยของห้องพักที่เปิดขายทั้งหมด ไตรมาส 3/2565 คาดโต 20% เทียบไตรมาสก่อนหน้าแตะ 2,600 บาท ทำจุดสูงสุดใหม่ และสูงกว่าช่วงก่อนโควิด 18% ซึ่งคาดจะดำเนินต่อไปในไตรมาส 4/2565 ที่เป็นไฮซีซั่นของมัลดีฟ ไทย และฟิจิ

นอกจากนั้นแล้วหุ้นยังซื้อขายในระดับที่น่าสนใจ 0.8 เท่า P/BV เทียบกับเฉลี่ยของคู่แข่ง 2.5 เท่า แม้ว่าราคาหุ้นจะลดลง 11% ในเดือนที่ผ่านมา ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าเป็นโอกาสในการเข้าเก็บหุ้น

ส่วนบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA แนะนำราคาเป้าหมาย 101 บาท โซลาร์ และวินด์ฟาร์มคาดมีกำไรจากราคาขายที่สูงขึ้นจากการขึ้นค่า Ft ส่วนธุรกิจ EV มีแนวโน้มดีที่สุดในกลุ่มไฟฟ้าจากการซัพพอร์ตเงินสนับสนุนของรัฐบาล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงมาสู่ EV ของไทยที่เร็วขึ้น

ด้านบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX แนะนำราคาเป้าหมาย 21.60 บาท เป็นทั้งผู้ขาย และทำการตลาด โดยมีหุ้น 45% ในโรงงานผลิต EV ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์มองว่ามีการลงทุนที่น่าสนใจ 1.กำไรคาดเทิร์นอะราวด์ในไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไปจากกำไรส่งมอบรถบัสอีวี 800 คัน และ 2) การเติบโตของกำไรปี 2565-2566 ผลักดันโดยดีมานด์ที่อัดอั้นสำหรับอีบัส และการเปิดตัว รถบรรทุกไฟฟ้าคาดส่งมอบไตรมาส 4/2565 เป็นต้นไป

ส่วนบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP แนะนำราคาเป้าหมาย 6.60 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/2565-ไตรมาส 3/2565แข็งแกร่งจากการผลิตไฟฟ้าที่แข็งแกร่งเกินคาด ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีต้นทุนต่ำจะช่วยหักล้างการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูงจากการน้ำเข้า LNG ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กำไรในครึ่งหลังปี 2565

ปิดท้ายธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB แนะนำราคาเป้าหมาย 18.20 บาท  มองว่าเป็นหุ้นปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจ จากการที่มีดาวน์ไซด์ค่าเสื่อมสินทรัพย์ต่ำกว่าคู่แข่ง และคาดว่าจะเกาะเทรนด์ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีแอปเป๋าตัง และเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการขึ้นดอกเบี้ย

Back to top button