BAY แนะเก็บหุ้นจีน-Growth Stock รับเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขาขึ้น

BAY แนะลงทุนหุ้นจีน-Growth Stock รับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนครึ่งปีหลังฟื้นตัว และการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 กระตุ้นเศรษฐกิจจีน รวมถึงดอกเบี้ยขาขึ้น


นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่าครึ่งหลังของปี 2565 ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่นักลงทุนต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในเรื่องสถานการณ์เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น และการเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่น่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งในงานสัมมนา “KRUNGSRI EXCLUSIVE Mid-Year Outlook 2022 ในหัวข้อ Is it a good time to buy risky assets” ครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนได้รับทราบถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งยังได้ฟังกลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลก เพื่อมาปรับใช้กับการบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

โดยงานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทของกรุงศรีในฐานะที่ปรึกษาทางด้านการเงินที่เชื่อถือได้ให้กับลูกค้าและนักลงทุนที่มอบความไว้วางใจเสมอมา

โดยเมื่อโลกยุคหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่เคยคาดการณ์ว่าภาคเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อสถานการณ์พลิกด้วยพลวัตของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่กับการรับมือของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนแหล่งซัพพลายใหญ่ของโลกกับนโยบายซีโร่โควิด รวมถึงเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอย่างปัญหาความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานทั่วโลก เสริมด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังเดินหน้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล้วนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศตลาดลงทุนและภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก

Vivien Ng, Equity Specialist, Global Emerging Markets and Asia Pacific Equities Executive Director, UBS Asset Management (Singapore) Ltd  ให้มุมมองถึงโอกาสการลงทุนในหุ้นจีนช่วงครึ่งปีหลังว่า หุ้นจีนกำลังจะกลับมา อันเกิดจากปัจจัยสนับสนุนหลักอย่างการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน และนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับตัวได้ดีของภาคการผลิต ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกที่เสริมให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งรัฐบาลจีนมีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของปี 2565 ให้บรรลุตามเป้าที่ตั้งไว้เพิ่มขึ้น 5.5%

ดังนั้นครึ่งปีหลังจึงจำเป็นต้องเร่งการเติบโต โดยโอกาสการลงทุนในหุ้นจีนยังคงอยู่ที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เหล้าขาว ผลิตภัณฑ์จากนม ยีสต์ทำขนมปัง ยาจีนแผนโบราณ ฯลฯ ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น

ขณะที่หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน ประกัน และกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพยังคงเป็นหุ้นกลุ่มหลัก ส่วนหุ้นในกลุ่มบริการสื่อสาร เป็นส่วนที่เพิ่มมาหลังจากที่รัฐบาลจีนมีมาตรการผ่อนคลายเรื่องธุรกิจในประเทศมากขึ้นหลังจากที่เคยควบคุมอย่างเข้มงวดท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางต่างๆ เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์  Stewart Hogg, Client Service Director, Baillie Gifford  ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก

ทั้งนี้ยังเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว 5 ปีขึ้นไป โดยเคล็ดลับคือนักลงทุนต้องอดทนถือหุ้นให้นานพอ และควรเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว หรือเป็นกิจการที่สามารถสร้างแรงขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาได้อย่างมหาศาล อาทิ ธุรกิจการแพทย์ยุคใหม่ เช่น Moderna BioNTech ธุรกิจพลังงานสะอาดหรือที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น Tesla และธุรกิจในโลกเสมือน อย่าง Meta และ Roblox เป็นต้น โดยจากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าการลงทุนหุ้นที่มีศักยภาพในระยะนานกว่า 5 ปี มีโอกาสกว่า 97% ที่จะสามารถชนะ Benchmark และได้ผลตอบแทนที่สูง ดังนั้นควรเลือกพิจารณากิจการที่มีพื้นฐานที่ดี ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ต้องปรับตัวรับมือไม่ว่าจะเป็นนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อเป็นหลักแทนการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดังนั้นเป็นไปได้ที่ในอีก 12-18 เดือนจากนี้ จะเห็นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเหลือ 1% จาก 3%

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ Gordon Harding, Vice President, Fixed Income Strategist, PIMCO Asset Management บริษัทจัดการกองทุนตราสารหนี้ ระดับโลกที่เชี่ยวชาญการบริหารกองทุนตราสารหนี้ที่ได้ระดับ Morning Star 5 ดาวมาอย่างต่อเนื่อง แนะว่า นอกจากมองหาตราสารที่มี yield ที่ดีและให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอแล้ว

โดยสิ่งสำคัญอีกสองประการ คือ เรื่องของความยืดหยุ่น (Flexibility) รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามสถานการณ์ และปรับพอร์ตให้เหมาะสมอยู่เสมอ เช่น ลดระยะเวลาถือให้สั้นลงจะได้ขายออกได้เร็วขึ้นเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองใหม่ที่ให้ Yield ที่ดีกว่า และอีกประการคือ การกระจายความเสี่ยง (Diversifying) ด้วยการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาค เช่น การปรับลด Agency Mortgage และเพิ่มในส่วนของหุ้นกู้ประเภท High Yield และ Non Agency Mortgage ทำให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี อีกทั้งยังเพิ่มสภาพคล่องของพอร์ต เพื่อมองหาสินทรัพย์คุณภาพดี เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงก็จะสามารถช้อนซื้อสินทรัพย์ไว้ได้ทัน

นอกจากนี้ ยังให้มุมมองสำหรับช่วงครึ่งหลังของปีว่าสถานการณ์ในภาพรวมจะดีขึ้น โดยหากมองจาก Base Case ว่าเงินเฟ้อได้ไต่ระดับมาถึงจุดสูงสุดแล้ว และ FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ต้องยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจเกิดขึ้นและทำให้ตลาดชะลอตัว อย่างไรก็ตามหวังว่าอุปสงค์จะกลับมาหลังจากช่วงเวลาซบเซาจาก COVID-19 โดยมีเงื่อนไขว่าปัจจัยลบทุกอย่างน่าจะดีขึ้น

ทั้งนี้กรุงศรีแนะนำกองทุน KFACHINA-A โดย UBS ที่คาดการณ์ว่าตลาดจีนจะฟื้นกลับมา แนะนำให้ดูจังหวะที่เหมาะสมและทยอยสะสม KFGG-A กองหุ้นเติบโต โดย Baillie Gifford ที่เน้นกลยุทธ์มองภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมในระยะยาว และคาดว่าหุ้นเติบโตจะเริ่มฟื้นและไปต่อได้ในเร็วๆ นี้ กรุงศรีแนะนำนักลงทุนต้องวางแผนและแบ่งสัดส่วนอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ กองทุน KF-CSINCOM และ กองทุน KF-SINCOME โดย PIMCO กรุงศรีมองว่ามีโอกาสที่ดี ด้วยเพราะ Yield จะสูงกว่าช่วงต้นปีประมาณสองเท่า และมีโอกาสขึ้นได้ประมาณ 7% ในปีหน้า โดยข้อมูลจาก PIMCO เสนอว่าการลงทุนกองตราสารหนี้กับ PIMCO มีโอกาสได้ผลตอบแทนเลข 2 หลัก ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะช้อนซื้อ

Back to top button