3 โบรกแห่อัพเป้า FPT สนั่น 17.20 บ. คาดกำไร Q4 พีกสุดปีนี้!

โบรกคาดผลงาน FPT ไตรมาส 4/65 พีคสุดของปีนี้ รับทุกธุรกิจขยายตัว หนุนกำไรทั้งปี 65 แตะ 2.41 พันลบ. บันทึกกำไรพิเศษขายสินทรัพย์เข้า FTREIT อัพเป้าใหม่สูงสุด 17.20 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT โดยมองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 จะทำจุดสูงสุดของปี ตามการเปิดโครงการใหม่มากสุดด้วยจำนวน 11 โครงการ มูลค่า 1.16 หมื่นล้านบาท การส่งมอบพื้นที่เช่าโรงงานและคลังสินค้า รวมถึงการขายสินทรัพย์เข้า FTREIT มูลค่า 900 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 65 คาดจะอยู่ที่ระดับ 2.41 พันล้านบาท

โดยบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กำไรไตรมาส 3/65 ของ FPT แตะระดับ 680 ล้านบาท เติบโต 46.8% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 117.6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนนั้นมาจากทุกหน่วยธุรกิจ เช่น ที่พักอาศัย ขายส่ง โรงแรม และสำนักงานที่สนับสนุนการเติบโต รวมถึงการรับรู้กำไรเพิ่มจากสองรายการพิเศษจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 309.2 ล้านบาท

ทั้งนี้มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรของ FPT โดยคาดว่าอุปสงค์ที่พักอาศัยจะปรับตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตของ GDP ที่ได้รับปัจจัยบวกจากการกลับมาของการท่องเที่ยว และปริมาณส่งออกที่สูงขึ้น ด้านธุรกิจขายปลีก โรงแรม สำนักงาน และการปล่อยเช่าสินทรัพย์ IE จะได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

นอกจากนั้นแล้ว FPT ยังมีแผนที่จะขายสินทรัพย์เพิ่มเติมอีกในไตรมาส 4/65 ซึ่งจะทำให้กำไรที่ได้จากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้นจะมากกว่าในไตรมาสที่ผ่านมา โดย “บล.กสิกรไทย” คงมุมมอง Outperform ต่อหุ้น FPT และปรับราคาเป้าหมายเป็น 17.20 บาท/หุ้น จากเดิม 16.80 บาท/หุ้น

ส่วนนางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิคบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับปรุงประมาณการของ FPT ภายในปี 25 ให้สอดคล้องกับข้อมูลงวด 9 เดือนปี 65 ทำให้กำไรปี 65 เพิ่มจากเดิม 4.6% เป็น 1.89 พันล้านบาท โดยปรับลดรายได้ดำเนินงานลงจากเดิม 3% อยู่ที่ 1.51 หมื่นล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการปรับลดยอดโอนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายสะท้อนการปรับลดเปิดโครงการใหม่ปีนี้จากเดิม 23 โครงการ มูลค่า 2.94 หมื่นล้านบาท เหลือ 19 โครงการ มูลค่า 2.15 หมื่นล้านบาท รวมถึงปรับลดมูลค่าขายสินทรัพย์เข้ากอง FTREIT จากเดิม 2 พันล้านบาท เป็น 1.7 พันล้านบาท ทำให้กำไรจากการขายสินทรัพย์ลดลงจากเดิม 15% เท่ากับ 680 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีได้มีการปรับเพิ่ม Gross Margin ขายอสังหาฯ จากเดิม 28% เป็น 31.4% (งวด 9 เดือนปี 65 อยู่ที่ 31.1%) อันเนื่องจากการปรับราคาขายและเน้นสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยวระดับกลาง-บนที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงมาร์จิ้นธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ทำให้ Gross Margin เฉลี่ยรวมเพิ่มจากเดิม 32.7% เป็น 36.3% (งวด 9 เดือนปี 65 อยู่ที่ 36.2%) องค์ประกอบรวมกำไรปกติปี 54 เพิ่มจากเดิม 4.6% อยู่ที่ 1.89 พันล้านบาท เติบโต 28% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเมื่อรวมกับกำไรพิเศษสุทธิงวด 9 เดือนปี 65 จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2.41 พันล้านบาท

ขณะที่ทิศทางกำไรปกติไตรมาส 4/65 (สิ้นสุดก.ย.65) คาดทำจุดสูงสุดของปี และเติบโตทั้งเมื่อเทียบจากปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน หนุนจากทุกธุรกิจทั้งธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายจะเปิดขายโครงการใหม่มากสุดของปีด้วยจำนวน 11 โครงการ มูลค่า 1.16 หมื่นล้านบาท (เทียบกับงวด 9 เดือนปี 65 เปิดไป 8 โครงการ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท) ขณะที่ธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม จะมีการส่งมอบพื้นที่ให้โรงงานและคลังสินค้าราว 1 แสนตารางเมตร และการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของ 2 บริษัทย่อยในอินโดนีเซีย ซึ่งมีโรงงานและคลังสินค้า 47 ยูนิต รวมพื้นที่ 1.5 แสนตารางเมตร (ปัจจุบันมีอัตราการเช่า 72% และคาดรายได้ราว 200 ล้านบาทต่อปี)

ส่วนธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ ทั้งในส่วนโรงแรมคาดฟื้นตัวต่อเนื่องหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ หนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยมากขึ้น และการเปิดอาคาร Silom Edge พื้นที่เช่า 2.1 หมื่นตารางเมตร ในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งจะมาทดแทนรายได้จากการให้เช่าที่ลดลงของอาคาร Golden Land Building ที่จะหมดสัญญาในเดือน ส.ค.

นอกจากนี้งวดไตรมาส 4/65 จะมีการขายโอนฯ ทรัพย์สินให้แก่ FTREIT อีกจำนวน 16 ยูนิต พื้นที่เช่า 4.1 หมื่นตารางเมตร และคาดมีมูลค่าขายราว 900 ล้านบาท (สูงกว่าไตรมาส 3/65 มีมูลค่าขาย 796 ล้านบาท) ทั้งนี้ประเมินราคาเป้าหมาย FPT ปี 66 ไว้ที่ 16 บาท/หุ้น

ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ในครึ่งปีหลัง FPT มีแผนเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวอีกหลายโครงการโดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้สูงซึ่งจะมีกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำต่อสถานการณ์เศรษฐกิจอ่อนตัว

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมอุปสงค์ในโรงงาน และโกดังเก็บสินค้ายังมีความแข็งแกร่งมาก ผลักดันโดยเทรนอีคอมเมิร์ซที่มาแรง นอกจากนั้นยังมีพื้นที่อุตสาหกรรมกว่า 146,000 ตร.ม. ที่จะส่งมอบให้ลูกค้าในปีนี้

นอกจากนั้นแล้วยังมีแผนที่จะขายสินทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมให้ FTREIT ในไตรมาส 4/65 มีมูลค่ารวม 1.7 พันล้านบาท ส่วนภาคการบริการยังคงฟื้นตัวช้าอยู่แม้จะมีการเปิดประเทศแล้วก็ตามเนื่องจากนักท่องเที่ยวยังไม่ได้กลับเข้ามาในไทยในจำนวนที่มาก

ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ถือ” โดยปรับประมาณการปี 65 ขึ้น 5% และและปี 66 ขึ้น 4% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งเกินคาด และมีพื้นที่เช่าสุทธิเพิ่มเติม ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 15.90 บาท/หุ้น จากเดิม 14.50 บาท/หุ้น

Back to top button