IRPC มั่นใจปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” รับปิโตรฯฟื้น ทุ่มหมื่นล้านลุย UCF-M&A

IRPC มั่นใจปีนี้ “เทิร์นอะราวด์” รับปิโตรฯฟื้นแกร่ง ทุ่มหมื่นล้านลุยโครงการ UCF-M&A เต็มสูบ ตามแผนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2603 พร้อมย้ำเป้าปี 73 อีบิทด้าแตะ 3 หมื่นล้าน


นางสาวกัญญามาลี ฤทธิเดช ผู้จัดการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 27 ก.พ.66 ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 66 คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกอยู่ที่ประมาณ 103 ล้านบาร์รลต่อวัน เทียบเท่ากับในสภาวะก่อนการระบาดของ COVID-19

โดยคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับปี 65 ที่อยู่ที่ 101 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศจีนที่ได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว และเปิดประทศในช่วงต้นปี 66 ซึ่งคาดว่าการเปิดประเทศนี้จะสนับสนุนความต้องการใช้น้ำมันอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากประเทศนมีปริมาณการนำเข้าน้ำมันสุทธิมากที่สุดในโลก

ขณะที่ผู้ผลิตกลุ่มโอเปกและพันธมิตรมีนโยบายปรับลดการผลิตเดือนละ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี 66 เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบท่ามกลางความกังวลต่อ Recession นอกจากนี้ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำ จากการนำ SPR ออกสู่ตลาดในปี 65

ส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านอุปทาน หากเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบอย่างมีนัยสำคัญ จากแนวโน้มสภาวะตลาดข้างต้น ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 66 อยู่ในช่วง 85-95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งปรับวลดลงจากราคาเฉลี่ยทั้งปี 65 ที่ 96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนทิศทางและแนวโน้มราคาปิโตรเคมีปี 66 คาดการณ์ความต้องการของตลาดจะเติบโตประมาณ 1.5-2.0% โดยเฉพาะความต้องการจากจีนที่จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมCOVID-19 และมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจต่าง ๆ ทั้งการลงทุนจากทางภาครัฐ และการส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลจีน ซึ่งจะส่งผลดีกับธุรกิจภาคการบริการโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางท่องเที่ยว

“จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยมองว่าปีนี้จะกลับมา “เทิร์นอะราวด์” เนื่องจากธุรกิจปิโตรเสปดฟื้นตัวดีขึ้น และเพิ่มค่าการกลั่น U-Rate และเพิ่มอัตรากำไรด้วยส่วนผลิตภัณฑ์พิเศษสำหรับปิโตรเคมีประมาณ 33% โดยตั้งเป้า (Market GIM) ปีนี้ที่ระดับ 13-14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เทียบจากปี 65 อยู่ที่ 10.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล พร้อมวางเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนและมุ่งไปสู่เป้าหมาย Net Zeroปี 2603”

ขณะที่ความคืบหน้าโครงการลงทุนที่สำคัญ อาทิ โครงการ UItra Clean Fuel (UCF) เป็นโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Euro V) เพื่อสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงพลังงานที่กำหนดให้ต้องจำหน่ายน้ำมันดีเซลมาตรฐาน Euro V ในประทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยน้ำมันดีเซลมาตรฐานยุโร 5 จะช่วยลดการปลดปล่อยค่ากำมะถันจาก 50 ppm (มาตรฐานยูโร 4) เป็น 10 ppm (มาตรฐานยูโร 5)

ปัจจุบันโครงการอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างโรงงานประมาณ 66% โดยจะสมารถผลิตชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2567 และหลังจากโครงการนี้แล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตสำหรับแปลงสภาพน้ำมันดีเซลกมะนสูเป็นน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำตามมาตรฐาน Euro V ได้ทั้งหมด

ด้านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบหุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ขนาด 8.5 เมกกะวัตต์ เป็นโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพื่อใช้สำหรับกระบวนการผลิตในบริษัทฯ โดยตัวหุ่นลอยน้ำ(Pontoon) เกิดจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ HDPE เกรดพิเศษของบริษัทฯ และโครงการนี้ยังเป็นการใช้พื้นผิวน้ำของบ่อเก็บน้ำสำรองของบริษัทฯ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจก (CO2Emission) ลงได้ประมาณ 5,000 ดันต่อปี ซึ่งปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง และคาดสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ในไตรมาส 4 ปี 2566

ส่วนรวมทั้งโครงการ INNOPOLYMED ผลิตผ้าประเภทไม่ถักไม่ทอ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัย มีกำลังการผลิต 5.6 KTA เงินลงทุนประมาณ 260 ล้านบาท ขั้นตอนการก่อสร้างโรงงานประมาณ 99% โดยจะสมารถผลิตชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2566

อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 68 อยู่ที่ 25,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 35,000 ล้านบาท ในปี 73 พร้อมวางกลยุทธ์สำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและต้องปรับตัวเตรียมพร้อมกับข้อจำกัดทางการค้าในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ภายในปี 2573 จากปีฐาน 2561 และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2603

นอกจากนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี (66-70) ที่ 36,456 ล้านบาท โดยในปี 66 ตั้งงบลงทุน 10,399 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) 4,090 ล้านบาท, 2.โครงการ Strengthenจำนวน 754 ล้านบาท ,3.โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน และค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงโรงงานจำนวน 2,404 ล้านบาท  และ 4.โครงการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Projects) จำนวน 3,151 ล้านบาท

Back to top button