โบรกคัด 10 หุ้นเด่น เล่นรับ “เลือกตั้ง 66” จับตาเม็ดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน

“บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส” แนะเพิ่มน้ำหนักตลาดเอเชีย ชี้เงินสะพัดเลือกตั้ง 1.2 แสนล้าน พร้อมชู 10 หุ้นเด่นน่าลงทุนธีมเลือกตั้ง AOT, CPN, AMATA, SIRI, SC, ADVANC, CPALL, BDMS, STEC และ SAWAD ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 เม.ย.66) มีการจัดงานสัมมนา “เจาะตลาดหุ้นไทย & เทศ กับเซียนหุ้น & นักวิเคราะห์ชั้นนำ” โดย นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเลือกตั้งของไทยในปี 2566 จะกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ประมาณ 1.0-1.2 แสนล้านบาท ในไตรมาส 2/66 หรือคิดเป็น 0.5%-0.7% เมื่อเทียบกับ GDP จากการประเมินของ ม.หอการค้าไทย (UTCC)

โดยหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง ได้แก่ AOT ที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยว แนวโน้มกำไรฟื้นตัวสูง จากการยกเลิกให้ส่วนลดคู่ค้า มาร์จินสูงขึ้น รายได้จากสัมปทานเพิ่มมากขึ้น

ส่วนหุ้น CPN คาดกำไรสุทธิปี 66 โต 20% จากการท่องเที่ยวฟื้นตัว การให้ส่วนลดค่าเช่ากับร้านค้าน้อยลง มีการเปิดมอลล์ต่อเนื่อง รวมถึงหุ้น AMATA ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลชุดใหม่ คาดยอดขายนิคมปี 66/67 เพิ่มขึ้น มียอดแบ็กล็อก 6.7 พันล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิปี 66-67 เติบโต 56% และ 30%

อีกทั้งหุ้น SIRI คาดปี 66 ทำสถิติกำไรสูงสุดจากการเปิดขายโครงการใหม่มูลค่ารวม 7.5 หมื่นล้านบาท และจะบันทึกกำไรขายโรงแรมนานาชาติ 480 ล้านบาท ในปีนี้ ส่วนหุ้น SC ประมาณการปี 66 เพิ่ม 7% และปี 67 เพิ่ม 5% โดยกำไรโตสูงขึ้นจากรายได้ขายคอนโด การให้เช่า และกำไรจากบริษัทร่วม ปีนี้และปีหน้าจ่ายปันผลสูง ยีลด์ 6.2%

ด้านหุ้น ADVANC ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคฟื้นตัว การขยายคลื่นความถี่ต่อเนื่อง และตั้งเป้าเข้าซื้อ JASIF และ TTTB สำเร็จในไตรมาส 2/66 ส่วนธุรกิจปี 66 กระเตื้องขึ้นจากการยกเลิกแพ็คเกจราคาถูก จ่ายปันผลดี 3.9-4% ต่อปี

ขณะที่หุ้น CPALL ได้ปัจจัยผลบวกจากการเลือกตั้ง มีเม็ดเงินหมุนเวียนสูง โดยอัตราเงินเฟ้อไทยชะลอตัว รูปแบบธุรกิจบริษัทมีหลากหลาย ทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-11 ค้าส่งแมคโคร และค้าปลีกเทสโก้ โลตัส แนวโน้มผลกำไรในไตรมาส 1/66 เติบโตขึ้นเทียบกับปีต่อปี

ส่วนหุ้น BDMS คาดกำไรสุทธิทั้งปี 66-67 เติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ได้ปัจจัยหนุนที่คนไข้ต่างชาติเพิ่มจาก CLMV และ จีน ฐานคนไข้ประกันสังคมมีโอกาสเพิ่มขึ้น ด้านหุ้น STEC รายได้และมาร์จิ้นดีขึ้นเทียบกับปีก่อน มีงานในมือสูง 1.1 แสนล้านบาท ทำให้การรับรู้รายได้มั่นคงไปใน 3 ปีข้างหน้า คาดกำไรสุทธิปี 66-67 จะเติบโต และหุ้น SAWAD เมื่อมีการเลือกตั้งธุรกิจเช่าซื้อคึกคัก ปี 66 ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็น key growth driver ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 25-30% ในปี 66 ส่วนรายได้ค่าฟีเติบโต 30% ทำให้คาดกำไรสุทธิปี 66 เติบโต 25%

ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน โดยระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจาก เงินสะพัดจากการหาเสียงเลือกตั้ง ราว 1-1.2 แสนล้านบาท ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และยังได้ปัจจัยบวกจากแนวคิดตลาดหลักทรัพย์ที่จะเสนอกระทรวงการคลัง ปัดฝุ่นนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund หรือ LTF ) กลับมาใช้ เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กระตุ้นให้เกิดการลงทุน

อย่างไรก็ตาม ระยะกลาง และระยะยาว ตลาดหุ้นไทยยังเปราะบาง มีหลายปัจจัยลบรุมเร้าที่คอยกดดัน ปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐ และยุโรป ที่ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเข้าถึงสินเชื่อได้ยากขึ้น และปัญหาเงินเฟ้อ ถ้าลดลงช้าก็อาจทำให้ดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูงนานกว่าคาด เศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรปชะลอตัว และอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะต่อไป ทั้งนี้ เฟดปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปี 66 จากเดิม 0.5% เป็น 0.4% และ ปี 2024  เดิม 1.6% เหลือ 1.2% ซึ่งความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกจะกระทบต่อภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยวของไทยตามไปด้วย นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงจากปัญหาประเทศฐานะการคลังที่อ่อนแอ มีหนี้สินอยู่ในระดับสูง ต้องเผชิญภาระดอกเบี้ยจ่ายมากในช่วงดอกเบี้ยแพง รวมทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยืดเยื้อ และโรคระบาด

โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ผลเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป จีน อาเซียน และไทย  สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ควรเน้นเก็งกำไรระยะสั้นไปก่อน ส่วนการซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้รอสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว

Back to top button