SCB EIC ชี้ปี 66 “ตลาดที่อยู่อาศัย” ฟื้นตัวช้า รับผลกระทบ “เงินเฟ้อ-หนี้ครัวเรือน”

SCB EIC ชี้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 66 ฟื้นตัวช้า รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ผนวกทิศทางอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มเพิ่มขึ้นทำให้กำลังซื้อหด รวมถึงต้นทุนก่อนสร้างเพิ่มขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (9 มิ.ย.66) ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อจากทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัว เพิ่มขึ้น 1% ถึง 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับราว 397,000 ถึง 418,000 หน่วย ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัว เพิ่มขึ้น 2% ถึง 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับราว 1.09 ถึง 1.14 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ อัตราการขยายตัวในปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยตลาดแนวราบกลุ่มบ้านเดี่ยวบ้านแฝดยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกลุ่มทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากที่หดตัวมากในปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดคอนโดมีเนี่ยมจะขยายตัวได้มากขึ้นโดยเฉพาะคอนโดระดับบน และตลาดที่อยู่อาศัยมือสองยังมีแนวโน้มได้รับความนิยมต่อเนื่องหลังจากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้จำเป็นต้องกลับมาติดตามสถานการณ์หน่วยเหลือขายสะสม ที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง นอกจากนี้ ต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นสาเหตุหลัก

1.ภาวะเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะกำลังซื้อในกลุ่มรายได้ปานกลาง-ล่าง

2.ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ยังคงกดดันสถานการณ์ด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางการเงิน

3.ต้นทุนก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากทั้งราคาที่ดินรวมถึงค่าแรงงานที่มีแนวโน้มปรับขึ้นขณะที่ราคาวัสดุก่อสร้างสำคัญ อย่างเหล็ก และปูนซีเมนต์ ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

สำหรับจากปัจจัยกดดันที่ยังคงมีน้ำหนัก ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ ทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างระมัดระวัง การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงใส่ใจประเด็นด้าน ESG แยกออกเป็นดังนี้

1.การพัฒนาที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาหน่วยเหลือขายสะสมในแต่ละพื้นที่ควบคู่ไปด้วย แม้ว่าที่อยู่อาศัยในระดับราคา Affordable ยังคงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่คาดว่ายังคงมีความต้องการจากผู้ซื้อ รวมถึงบ้านเดี่ยวบ้านแฝดระดับราคาปานกลาง-บน มีแนวโน้มแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น การเลือกเปิดโครงการในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของโครงการใหม่สูงหรือพื้นที่ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยเหลือขายสะสมสูงจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น

2.การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการลดต้นทุนการก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ผ่านการนำเทคโนโลยีมาช่วยในด้านการก่อสร้าง รวมถึงสร้างความร่วมมือกับผู้รับเหมา ในการจัดหาวัสดุก่อสร้าง และแรงงาน

3.ใส่ใจประเด็นด้าน ESG โดย ESG จะเข้ามามีบทบาทในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยมากขึ้นผู้ประกอบการควรปรับตัวทั้งในด้านกระบวนการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีส่วนช่วยให้ผู้อยู่อาศัยประหยัดพลังงานมากขึ้น

Back to top button