คัด 22 หุ้นรับประโยชน์ “บอนด์ยีลด์ – ราคาน้ำมัน” ลดลง!

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าประเด็นบอนด์ยีลด์สหรัฐ-ราคาน้ำมันลง คาดมีหุ้นไทยบางกลุ่มได้ประโยชน์ อาทิ AAV-BEM-OR-BGRIM- GPSC-GULF-TASCO-SCCC-SCC-PTTGC-TIDLOR-MTC-SAWAD- HANA-KCE-DELTA-NEX-EA-JMART-STEC-CBG-SIR


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (8 พ.ย.66) ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับ 5% ในช่วงก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มาอยู่ที่ 4.589% ขณะที่บอนด์ยีลด์ชนิดอายุ 30 ปีอยู่ที่ 4.744%

ทั้งนี้ นักลงทุนจำนวนมากให้ความสำคัญต่อถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวล ในงานเสวนาการประชุมวิจัยประจำปีของ Jacques Polak ครั้งที่ 24 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในวันที่ 9 พ.ย.66 เวลา 14:00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือวันที่ 10 พ.ย.66 เวลา 02:00 น. ตามเวลาไทย

สำหรับหัวข้อเสวนาคือ “Monetary policy challenges in a global economy” หรือความท้าทายของนโยบายการเงินของเศรษฐกิจโลก ซึ่งพาวเวลจะตอบคำถามเกี่ยวกับนโยบายการเงินในงานนี้

โดยในปัจจุบันตลาดยังจับตาการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐด้วยวงเงิน 1.12 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.144 ล้านล้านบาท) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งทางการแบ่งพันธบัตรออกเป็น 3 ชุด ได้แก่ พันธบัตรอายุ 3 ปี วงเงิน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์, พันธบัตรอายุ 10 ปี วงเงิน 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ และพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ในเดือน พ.ย. 66 ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐปรับตัวลงมากว่า 0.37% จากระดับที่สูงสุด 4.93% เหลือ 4.56% หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงปริมาณมาก โดยให้น้ำหนักเอนเอียงไปที่ GROWTH STOCK สะท้อนได้จากดัชนี MSCI GROWTH ปรับตัวขึ้นได้แรงกว่า MSCI VALUE ในเดือนนี้ถึง 5% และจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นได้แรงสุดกว่า 7.0% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานติดลบอยู่กลุ่มเดียว -0.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ดังนั้นกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น VALUE เช่นเดียวกับกลุ่ม TIP จึงได้แรงหนุนจากกระแสบอนด์ยีลด์ สหรัฐขยับลงได้น้อยกว่า เลยทำให้ฟันโฟร์ยังไหลกลับเข้ามาแบบไม่ได้ชัดเจนนัก คือ ในเดือนนี้ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเอเชียเหนือทั้งเกาหลีใต้ และไต้หวันกว่า 1.3 และ 1.5 พันล้านเหรียญฯ ตามลำดับ แต่ยังขายสุทธิกลุ่ม TIP ตามรูปด้านล่าง

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ ประเมินว่าประเด็นบอนด์ยีลด์สหรัฐ และราคาน้ำมันลงจะกดดันหุ้นน้ำมันและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ยังมีหุ้นไทยบางกลุ่มได้ประโยชน์ ดังนี้

สำหรับหุ้นรับกระแสราคาน้ำมันลงแรง โดยมีหุ้นขนส่ง ได้แก่ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

ราวมถึงหุ้น ANTI-COMMODITY ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

ส่วนหุ้นรับกระแสบอนด์ยีลด์สหรัฐปรับลง โดยมีหุ้นรับกระแสดอกเบี้ยลง ได้แก่ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD

เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคาดหวังการเติบโต ได้แก่  บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA

รวมทั้งหุ้นกลุ่ม HIGH BETA ได้แก่ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG และ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI

Back to top button