คัด 10 หุ้นเด่นรับ “ESG Fund” ดันเม็ดเงินสะพัดหมื่นล้าน

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองจัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินทะลักไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท มองบวก 10 หุ้นเด่นในรายชื่อ SET ESG Ratings จะได้รับอานิสงส์เข้าลงทุน “ESG Fund” และมีผลงานไตรมาส 4/66 เติบโตดี


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กระทรวงการคลังหารือร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้ข้อสรุปหลักเกณฑ์มาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund โดยเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ที่มีการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG โดยกำหนดเงื่อนไขให้ประชาชนที่ซื้อกองทุนดังกล่าวสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อกองทุนไปลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท โดยใช้ระยะเวลาในการลงทุน 8 ปีเต็ม คาดว่ากองทุน TESG จะเริ่มเปิดให้ลงทุนได้ในเดือนธันวาคม 2566 เพื่อให้ประชาชนที่เข้ามาลงทุนได้รับการลดหย่อนภาษีในเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 SET ได้ประกาศผลหุ้นยั่งยืนประจำปี 2566 SET ESG Ratings จำนวน 193 บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ MAI

ทั้งนี้ มองเป็นบวกต่อ SET Index หากกองทุน TESG ได้รับการอนุมัติเริ่มใช้ในเดือนธันวาคม 2566 จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท และจะช่วยหนุนให้หุ้นที่อยู่ในรายชื่อ SET ESG Ratings จะ outperform SET ได้ ทั้งนี้ ได้เลือกหุ้นที่น่าสนใจ 10 ตัว ที่ได้รับการจัดอันดับใน SET ESG Ratings ซึ่งเป็นหุ้นเด่นของ DAOL มีผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาส 4/2566 และปี 2567 รวมถึงราคาหุ้นยัง laggard มากสุดตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปัจจุบัน YTD เรียงตามลำดับ ดังนี้

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท คาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2566 ฟื้นตัวจากการลดอัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทผลิต PET ในจีนในไตรมาส 4/2566 และคาดการณ์ว่าปริมาณขายน่าจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2567 จากการลดระดับสินค้าคงคลังที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท คาดการณ์กำไรจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในไตรมาส 4/2566 และในปี 2566 จากค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการที่ลดลง และธุรกิจหลัก ได้แก่ ห้องเย็น และยานยนต์ จะยังเติบโตดีต่อเนื่อง

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท ประเมินผลประกอบการระยะยาวกลับมาฟื้นตัวได้โดยประเมินแรงกดดันจากการแทรกแซงค่าไฟฟ้าของภาครัฐผ่อนคลายลง และยังได้โครงการใหม่ทั้งในและต่างประเทศหนุน คาดการณ์กำไรปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 23%

บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.00 บาท คาดการณ์ผลการดำเนินงานจะยังเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนได้ดีต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 2567 จากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง Aeroflex, Aeroklas และ EPP

บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 109.00 บาท แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2566 เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้าจากไฮซีซั่น และ GPM ขยายตัวจากต้นทุน แพ็กเกจจิ้งที่ลดลง และเริ่มรับรู้รายได้จากการจัดจำหน่ายเบียร์

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16.30 บาท สำหรับไตรมาส 4/2566 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้าจากกิจกรรมตกแต่งซ่อมแซมฟื้นตัวต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/2567 และคาดได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาทหนุนกำลังซื้อ จะส่งผลทำให้ในปี 2567 เติบโตได้

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.40 บาท คาดการณ์ไตรมาส 4/2566 เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรปกติปี 2567 จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่และปี 2567 จะดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้โดยสารรถไฟฟ้า อานิสงส์กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ระดับปกติและรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 55 บาท คาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2566 จะขยายตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล ขณะที่หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าจากค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติ

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)  หรือ OR โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22 บาท คาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 4/2566 จะเห็นการเติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยปริมาณขายน้ำมันที่สูงขึ้น นอกจากนี้ เห็นความเสี่ยงด้านนโยบายที่จำกัดมากขึ้นหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ และราคาดีเซลไปแล้ว

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท คาดการณ์กำไรไตรมาส 4/2566 ได้แรงหนุนจากค้าปลีกที่ฟื้นตัวและเป็นช่วงไฮซีซั่น และคาดเห็นการเติบโตต่อเนื่องไปในปี 2567 จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

Back to top button