กกร. ชี้ GDP ไทยขยายตัว 3.3% เร่งแก้หนี้เสียพุ่ง-ดึงต่างชาติลงทุน

กกร. เผยภาวะเศรษฐกิจไทยปี 67 ขยายตัว 2.8-3.3% แนะปรับโครงสร้างเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุน แม้เผชิญปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปัจจัยความเปราะบางในประเทศ แต่ส่งออกฟื้น รับอุตสาหกรรมเข้ามาลงทุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 ธ.ค.66) ณ ที่ประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปี 2567 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.8-3.3% และมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน เนื่องจากเผชิญปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลังรวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด-19

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงาน เพื่อเผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยและการก้าวสู่ low carbon society พร้อมคาดว่าการส่งออกในปี 2567 จะขยายตัวที่ระดับ 2-3% จากปี 2566 ที่ติดลบ 1-2% และมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง  5 ล้านคน ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสามารถดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยหนุน GDP ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 1-1.5%

ทั้งนี้ กกร. ได้เผยถึงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปีระหว่างปี 2566-2567 ไว้ว่า ในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค 66 ของ GDP จะอยู่ที่ 2.5 ถึง 3.0 และในช่วงเดือนธ.ค. 67 ของ GDP จะอยู่ที่ 2.8 ถึง 3.3 ส่วนประมาณการส่งออกในช่วงเดือนต.ค. 66 จะอยู่ที่ -2.0 ถึง -0.5 และในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 66 การส่งออกจะอยู่ที่ -2.0 ถึง -1.0 ส่วนในช่วงเดือนธ.ค. 67 ยอดการส่งออกจะสูงถึง 2.0 ถึง 3.0

ทั้งนี้ได้ประมาณการณ์เงินเฟ้อในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. 66 จะอยู่ที่ 1.7 ถึง 2.2 ในช่วงเดือนธ.ค. 66 จะอยู่ที่ 1.3 ถึง 1.7 และช่วงเดือนธ.ค. 67 จะอยู่ที่ 1.7 ถึง 2.2

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยในฐานะเป็นประธาน กกร. กล่าวว่า ในช่วงปี 2567 มีหลายปัจจัยแปรผันที่กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทย จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเน้นไปที่การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุลและการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง

อีกทั้งยังต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ ไตรมาส 1/2566 เป็น 2.79% ณ ไตรมาส 3/2566 จากทุก product และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15%

นอกจากนี้ หนี้นอกระบบเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไข ปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธ.ค. 66 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้ 2,793.29 ล้านบาท นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง

โดยที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากในสหรัฐฯ และยุโรป เศรษฐกิจยังคงชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% จากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% อีกทั้งเศรฐกิจในตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ จึงสามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และอาหาร

ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 สามารถเติบโตได้น้อยกว่าที่คาดโดยในงวด 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9% และการส่งออกยังคงชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่องและชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง อีกทั้งยังมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน ส่งผลให้การใช้จ่ายต่อหัวลดลงเหลือเพียง 4.30 หมื่นบาท จากที่เคยประมาณการ 4.55 หมื่นบาท

Back to top button