ไทยพบ “โอมิครอน JN.1” แล้ว 1 ราย ชี้แพร่ระบาดเร็ว-เลี่ยงภูมิคุ้มกันดี

ไทยพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน JN.1” แล้ว 1 ราย ชี้แพร่ระบาดเร็ว-หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดี คาดต้นปี 67 แพร่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก อนามัยโลกแนะกลุ่มเปราะบางรับการฉีดวัคซีนเพิ่ม


ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่าประเทศไทยเพิ่งพบโอมิครอน JN.1 (รุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86) จำนวน 1 ราย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566 โดยมีการแชร์รหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมที่แยกได้จากผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานครฯไว้บนฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID) คาดการณ์ว่าต้นปีหน้าอาจแพร่เป็นสายพันธุ์หลักเหมือนประเทศอื่น

ทั้งนี้สำหรับไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน BA.2.86 หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “พิโรลา” ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการจับผิวเซลล์ปอดของผู้ติดเชื้อได้ดีที่สุด ขณะที่ยังไม่สามารถหลบหนีภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ได้ไม่ดีเมื่อเทียบกับโอมิครอนที่ระบาดมาก่อนหน้า อาทิ EG.5.1 และ HK.3 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกังวลว่า BA.2.86 อาจมีการกลายพันธุ์เพื่อหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้น โดยพบมีการซุ่มตัวแพร่เชื้อในระดับต่ำๆ มาหลายเดือนแล้ว และในที่สุดโอมิครอนสายพันธุ์ JN.1 (B.1.1.529.2.86.1.1) ได้อุบัติขึ้นมา

โดยโอมิครอน JN.1 เป็นรุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86 ซึ่งบนส่วนหนามมีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นหนึ่งตำแหน่งคือ “L455S” ส่งผลให้มีความสามารถทั้งจับกับผิวเซลล์และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในโลก ซึ่งทำให้ในปัจจุบันกลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดโดดเด่นในฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ขณะที่มีความสามารถในการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของโอมิครอน JN.1

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกและกรมควบคุมโรคสหรัฐฯ รวมถึงอังกฤษออกเตือนประชาชนกลุ่มเปราะบางให้เข้ามารับการฉีดวัคซีน ขณะที่รัฐบาลอินเดียได้แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อโอมิครอน JN.1 โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางอีกทั้งแนะนำให้ปฏิบัติมาตรการป้องกันอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ กินร้อน, ช้อนกลาง และเว้นระยะห่างทางสังคม

สำหรับประเทศที่ตรวจพบโอมิครอน JN.1 จำนวนมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ เดนมาร์ก รองลงมา สหรัฐฯ, สิงคโปร์, ฝรั่งเศส และอังกฤษ ตามลำดับอย่างไรก็ดี แม้ว่าโอมิครอน JN.1 จะมีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูงกว่า แต่อาการโดยทั่วไปไม่รุนแรง ยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น

Back to top button