“เจพีมอร์แกน” มองบวก “หุ้นไทย” ลุ้นแตะ 1,700 จุดสิ้นปี รับบาทแข็ง-ดิจิทัลวอลเล็ตหนุน

“เจพีมอร์แกน” เพิ่มน้ำหนักลงทุน “หุ้นไทย” เก็งแตะ 1,700 จุดสิ้นปีนี้ รับมาตรการคลัง กระตุ้นการท่องเที่ยวฟื้น พ่วงบาทแข็งค่าและเงินดิจิทัลหนุน ดันบัญชีเดินสะพัดไทยฟื้น ชูหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดฟุ่มเฟือย-สาธารณูปโภคเด่น


เจพีมอร์แกน เปิดเผยมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในระหว่างการประชุม J.P. Morgan Thailand Conference ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยระบุว่า ยังคงเป็นการ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” (Overweight) จากแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายทางการคลัง การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมไปถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลของภาครัฐ นอกจากนี้คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) จะสูงขึ้นแตะ 1,700 จุด ภายในสิ้นปีนี้ จากระดับปัจจุบันที่ 1,418 จุด

ทั้งนี้ จากข้อมูลของธนาคาร แนวโน้มหลังการเลือกตั้งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตถึง 3.7% ในปี 67 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ประเทศไทยมีการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตทั่วโลก บวกกับแนวโน้มมาตรการผ่อนคลายทางการคลังที่ชัดเจนของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (U.S. Federal Open Market Committee: FOMC) ในช่วงครึ่งหลังของปี 67 เจพีมอร์แกน ได้ตั้งเป้าหมายพื้นฐานที่ 550 สำหรับดัชนี MSCI Thailand ซึ่งในอดีตให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ถึง 11% ในช่วงหนึ่งถึงสามเดือนหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก

ด้านนายมาร์โค สุจริตกุล เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทยของเจพีมอร์แกน กล่าวว่า มีความมั่นใจในตลาดไทยแม้ว่าสภาวะการเงินโลกจะยังค่อนข้างตึงตัว เราคาดว่าตลาดไทยจะมีความพร้อมจากหลายปัจจัย เช่น การเติบโตของ GDP ที่เข้มแข็ง และการมีบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถต้านแรงจากทิศทางตลาดโลกได้

โดยบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการค้าที่ดีขึ้น ราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่ลดลง ความสมดุลของสินค้าหลักที่มั่นคง บวกกับการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ธนาคารเจ. พี. มอร์แกนคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเพิ่มขึ้น จาก 0.8% ของ GDP ในปี 66 เป็น 4.1% ของ GDP ในปี 67

นายมาร์โค กล่าวเพิ่มเติมว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะช่วยปรับปรุงการจ้างงานของภาคบริการต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ในระดับปานกลาง โดยโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลมูลค่า 5 แสนล้านบาท รวมไปถึงนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายอื่น ๆ ของภาครัฐ หากประสบความสำเร็จ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้าปลีกในประเทศไทยอย่างครอบคลุม

โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ากระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกจะถึงจุดต่ำสุดในปี 67 เนื่องจากโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายการคลัง

ขณะที่นายราจีฟ ภัทร นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นในเอเชียและหัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นอาเซียนของเจพีมอร์แกน กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถหลีกหนีจากภาวะถดถอยในปีนี้ได้ แต่ความเสี่ยงของการชะลอตัวในปี 67 ยังคงเพิ่มสูงขึ้น

นายราจีฟ กล่าวเสริมว่า ในมุมมองนี้ ตลาดหุ้นอาเซียนอาจมีการปรับตัวลดลง ในขณะที่การไหลออกของเงินทุนต่างประเทศยังคงมีความเป็นไปได้อย่างสูง อย่างไรก็ตามจุดยืนของนักลงทุนต่างชาติไม่น่าส่งผลกระทบหนักถึงขั้นเงินทุนไหลออกนอกประเทศในระดับสูง นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่หุ้นและอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่จะสามารถช่วยชดเชยแรงต้านจากภาวะเศรษฐกิจโลกได้

ส่วนนายจักรพันธ์ พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ของเจพีมอร์แกน กล่าวว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ธนาคารเจ. พี. มอร์แกน มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดสินค้าฟุ่มเฟือย และหมวดสาธารณูปโภค

“ประเทศไทยกำลังก้าวไปอีกขั้นในการดึงดูดกระแสการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะคิดเป็นประมาณ 16% ของการผลิตยานยนต์ต่อปีทั้งหมดในประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” นายจักรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button