“ภูมิธรรม” หวั่นซ้ำรอย “ต้มยำกุ้ง” หลังเงินเฟ้อติดลบ 4 เดือน

“ภูมิธรรม เวชยชัย” กังวลเศรษฐกิจไทยซ้ำรอย “ต้มยำกุ้ง” หลังเงินเฟ้อติดลบ 4 เดือน ย้ำรัฐบาลต้องการให้นโยบายการเงินและการคลังสอดคล้องประสานกัน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้  (5 ก.พ. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การที่กระทรวงพาณิชย์แถลงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรือเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ม.ค.67 ปรับตัวลดลง 1.11% ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงวิกฤต โดยสถานการณ์ยังคงอยู่เดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือได้ว่าประเทศยังมีวิกฤตอยู่หลายเรื่องสิ่งที่น่ากังวลคือ วิกฤตทางการเงินที่เคยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 40 ขณะที่ส่งผลกระทบต่อการเงินทั้งระบบและเท่าที่ดูนักการเงินก็เป็นห่วงเรื่องนี้ โดยจะเห็นได้จากกรณีการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้

“ขณะที่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ววิกฤตล้มครืนแบบต้มยำกุ้งจะเกิดผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อประเทศ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนที่ต่อต้านการกระทำใดๆ ของรัฐบาล ให้คำนึงถึงจุดนี้ด้วย” นายภูมิธรรม กล่าว

อีกทั้ง มีนักเศรษฐศาสตร์หรือนักการเงินระบุว่าถ้าไม่ทำอะไรตอนนี้ โอกาสจะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจะตามมาเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องกลับไปดูว่าเป็นจริงหรือไม่ เชื่อหรือไม่และถ้าหากยังคัดค้านอยู่ก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นสิ่งที่คัดค้านไว้ ก็อยากให้รับผิดชอบด้วย

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังกล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 4 เดือนแม้จะอ้างได้ว่าการติดลบของอัตราเงินเฟ้อนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายลดค่าครองชีพด้านพลังงานของรัฐบาล ซึ่งก็ถูกต้องแต่ว่าอัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับต่ำจนน่าเป็นห่วง ซึ่งหลักๆมองว่าเป็นผลมาจากประชาชนขาดกำลังซื้อ กำลังซื้อหดหาย ขณะเดียวกันสถานการณ์หนี้ก็ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดต่ำลง

“อีกทั้งตอนนี้กำลังซื้อของประชาชนหดหายบวกกับสถานการณ์ตอนนี้ที่ตัวเลขหนี้สูง ทั้งหนี้ภาคครัวเรือนทำให้ประชาชนไม่ใช้จ่าย เพราะเป็นห่วงเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตัวเอง ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ไม่ลงทุนเพราะประชาชนไม่ใช้จ่ายมันก็ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมามันไปอยู่ที่ประชาชนกลุ่มบนทั้งหมด รวมถึงประชาชนในกลุ่มล่าง หรือกลุ่มฐานรากจริงๆ ไม่มีการขยายตัว มีรายได้ที่ไม่เพียงพอ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนั้นต้องยอมรับว่ายังเป็นภาระกับประชาชนอยู่มากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 7 ก.พ.67 เป็นอำนาจของ (กนง.) ที่จะพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนตัวคงไม่อยากเข้าไปพูด ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพูดชัดเจนแล้วว่าอยากให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องมีความเชื่อมโยงนโยบายให้ใกล้กับประชาชนมากขึ้นกว่า โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย จะห่วงแต่เรื่องเสถียรภาพอย่างเดียวไม่ได้

ทั้งนี้ รัฐบาลพูดชัดอยู่แล้วว่าอยากให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยมีความเชื่อมโยงใกล้กับประชาชนให้มากขึ้น อีกทั้งจะห่วงแต่เสถียรภาพอย่างเดียวคงไม่ได้ตอนนี้ระบบสถาบันการเงินแข็งแกร่งมากดูจากผลกำไรที่ออกมา แต่ปัญหาคือ ผลกระทบที่เกิดกับประชาชนตรงนี้เป็นอีกมิติหนึ่ง ในเรื่องการทำงานนั้นนโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องสอดคล้อง สอดประสานกัน

Back to top button