WHAUP อัดงบลงทุน 5 ปี 2.1 หมื่นล้าน ลุยขยายพอร์ตพลังงานแตะ 1,000 เมกะวัตต์

WHAUP กางแผนปี 67 มุ่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ ลุยขยายพอร์ตพลังงานแตะ 1,000 เมกะวัตต์ อัดงบลงทุน 5 ปี 2.1 หมื่นล้าน ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท หนุน EBITDA Margin อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า 50% เดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน


นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยถึงแผนการขยายธุรกิจในปี 2567 ว่า บริษัทฯ เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจการลงทุนผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนจากการต่อยอดธุรกิจทั้งภายใน และภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึง การมองหาโปรเจกต์การลงทุนใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ และส่วนแบ่งกำไรปกติรวม 5 ปี (2567-2571) ที่ 30,000 ล้านบาท พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนภายใน 5 ปี ข้างหน้าไว้ที่ 21,200 ล้านบาท และยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA margin ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% ผ่านแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ

โดยธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ)  ในปี 2566 บริษัทฯ มีปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยรวม 121 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นการเติบโต 4% โดยมาจากปริมาณยอดจำหน่ายน้ำดิบ 32 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 6 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ปริมาณยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำในเวียดนาม อยู่ที่ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 18% สำหรับปี 2567 บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายการให้บริการและเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม

ขณะที่ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำทั้งหมดที่จำนวน 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นยอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำภายในประเทศจำนวน 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในประเทศเวียดนามจำนวน 36 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 14% พร้อมทั้งยังเดินหน้าพัฒนา Smart Water Platform ด้วยการนำ Artificial Intelligence (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้ และมองหาโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการโรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียต่างๆ ที่จะเริ่มทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มเติมในปีนี้ อาทิเช่น โครงการในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ซึ่งคาดว่าจะมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงไตรมาส 2/2567 และโครงการส่วนขยายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (WHA Rayong 36) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในช่วงไตรมาส 4/2567 โดยโครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตรวมกว่า 8.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมองหาแหล่งน้ำดิบทดแทน เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำ และรองรับการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้น้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ

ขณะที่ ธุรกิจพลังงาน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน  โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเซ็นสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) กับลูกค้าอุตสาหกรรม (Private PPA) เพิ่ม 42 สัญญา หรือเท่ากับ 50 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) เฟส 1 จำนวน 5 โครงการ

โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 858 เมกะวัตต์  สำหรับปี 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามสัญญาแล้วจากโรงไฟฟ้าทุกประเภทเป็น 1,000 เมกะวัตต์  คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 17% จากปีก่อน     ซึ่งจะประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวน 453 เมกะวัตต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ Private PPA จำนวน 283 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อเดินเกมรุกในการพัฒนานวัตกรรม และโซลูชันพลังงาน อาทิ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) รวมทั้งการทำดีล M&A ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

“ขณะที่ WHAUP ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยเน้นการใช้นวัตกรรมโซลูชันต่างๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับ AAA ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด และได้รับรางวัล Commended Sustainability Awards จากเวที SET Awards 2023 ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ  ได้เป็นอย่างดี” นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button