
“ดาวโจนส์” เปิดบวก 186 จุด รับผลประกอบการ “ไมโครซอฟท์-เมตา” แกร่ง
ดัชนีดาวโจนส์ เปิดบวก 186 จุด หลังรายงานผลประกอบการ ไมโครซอฟท์ และเมตา แพลตฟอร์มส์ ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ มีแนวโน้มแข็งแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงาน ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดวันนี้ (1 พ.ค.68) ณ เวลา 20.43 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 40,856.05 จุด บวก 186.69 จุด หรือ 0.46% ขณะที่ S&P 500 บวก 0.86% และดัชนี Nasdaq บวก 1.66% หลังจากสองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในกลุ่ม Magnificent Seven อย่างไมโครซอฟท์ และเมตา แพลตฟอร์มส์ รายงานผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน นักลงทุนกำลังประเมินข้อมูลผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่ออกมาเพิ่มสูงกว่าคาดการณ์
บริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของธุรกิจ Azure ซึ่งเป็นธุรกิจคลาวด์ โดยไมโครซอฟท์ระบุว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.22 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 7.007 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 6.842 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18% สู่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ด้าน บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) รายงานกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ระดับ 6.43 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5.28 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 4.231 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.140 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนยอดขายพุ่งขึ้น 16% เมื่อเทียบรายปี และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 1.664 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.237 หมื่นล้านดอลลาร์จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ ซูซาน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของเมตาคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 2/2568 จะอยู่ในช่วง 4.25 – 4.55 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.403 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เมตาซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านทุน (CapEx) สู่ระดับ 6.4-7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ในขณะที่บริษัทกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ทั้งสองบริษัทรายงานผลประกอบการหลังตลาดปิดในวันพุธ ซึ่งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและสภาวะการทำธุรกิจที่เผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และสงครามการค้ากับจีนที่ทวีความรุนแรง
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่เหลือ โดยแอมะซอน (Amazon) และแอปเปิ้ล (Apple) จะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากปิดตลาดในวันพฤหัสบดี ขณะที่อีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) แมคโดนัลด์ (McDonald’s) และมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการวันนี้เช่นกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่รายงานแล้วในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ 241,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 26 เม.ย. เพิ่มขึ้น 18,000 ราย จาก 223,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ราว 224,000-225,000 ราย และสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ที่ผ่านมา
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 226,000 ราย จาก 220,500 ราย ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 83,000 ราย สู่ระดับ 1.92 ล้านราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2564
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานถือเป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาพตลาดแรงงาน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งข้อมูลล่าสุดนี้เป็นสัญญาณเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหา หลังจากที่วานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยการประมาณการครั้งที่ 1 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568 โดยระบุว่า GDP หดตัวลง 0.3% หลังจากที่ขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 4/2567 โดยการหดตัวลงของ GDP ในไตรมาส 1 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ยังรวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนเม.ย.จาก S&P Global ดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 129,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.2% ในเดือนเม.ย.