SNPS ปักธงรายได้ปีนี้ 600 ล้าน ลุยตลาด “อาหารเสริม-เวชสำอาง” ต่างประเทศเต็มสูบ

SNPS กางแผนปี 68 ชู 4 กลยุทธ์ดันรายได้แตะ 600 ล้านบาท เดินหน้าปั้นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสารสกัดสมุนไพร-API พร้อมลุยตลาด อาหารเสริม-เวชสำอาง ในต่างประเทศเต็มสูบ


ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS ได้เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจผ่านในงาน Opportunity Day ที่จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 19.77 ล้านบาท เติบโต 63.15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าอยู่ที่ 12.12 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากรายได้รวมอยู่ที่ 120.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้เป็นผลจากจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัด สมุนไพร มาตรฐาน (API) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 73.66% กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (Product Innovation) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทฯ ขอเรียนว่า แนวโน้มรายได้จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของทุกปี เนื่องจาก SNPS เป็นผู้ดำเนินธุรกิจต้นน้ำทั้งด้านการสกัดวัตถุดิบ การผลิตสินค้ารูปแบบ Original Equipment Manufacturer (OEM) ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้ามีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วงไตรมาสดังกล่าว จึงทำให้คำสั่งซื้อเริ่มเข้ามาต่อเนื่อง

ส่วนแผน (Outlook) ปี 2568 บริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์หลักการดำเนินงานไว้ 4 แนวทาง ได้แก่ 1.ให้ความสำคัญกับการสร้างพอร์ตผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เน้นพัฒนาสินค้าที่มีความแตกต่าง, 2.) ขยายตลาดสินค้า, 3.) เสริมความแข็งแกร่งห่วงโซ่อุปทาน และ 4.) พัฒนาด้าน IT, วัตถุดิบที่มีตราสินค้า (Branded Ingredient) และสารออกฤทธิ์ (API) ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยการเติบโตของบริษัทฯ

ปัจจุบัน SNPS แบ่งพอร์ตสินค้าออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ เครื่องสำอาง อาหารและยา ส่วนการโฟกัสตลาดจะแบ่งเป็นในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศ SNPS โฟกัสที่ กลุ่มฟาร์มา เพราะเห็นความต้องการที่เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรคหรืออาการบางอย่างที่สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรพื้นบ้าน (National Remedy) นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่มนี้ยังถือเป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน

ส่วนตลาดต่างประเทศ เนื่องจากข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาในแต่ละประเทศ SNPS จึงเลือกที่จะโฟกัสไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Nutra) เป็นหลักก่อน

โดยที่ผ่านมา มีการตลาดต่างประเทศ ผ่านการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรใน 8 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ฝรั่งเศส อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ออสเตรีย เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ SNPS นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการเข้าร่วมงานนิทรรศการและกิจกรรมระดับนานาชาติในหลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย สเปน อินเดีย ไทย เกาหลีใต้ จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ขณะที่ปี 2568 บริษัทฯ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสารสกัดสมุนไพรมาตรฐาน (Active Phyto Ingredients : API) โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ในระดับ “Big Series” อย่างน้อย 2-3 รายการ ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์มูลค่าสูง (High-value APIs)

นอกจากนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบ “สูตรนวัตกรรม” ครอบคลุมทั้งในกลุ่มเวชสำอาง (Cosmeceuticals), ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Nutraceuticals) และยาแต่ละเดือนบริษัทฯ สามารถพัฒนาสูตรใหม่ได้มากถึง 10 รายการ

“จะเห็นเลยค่ะว่าในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เนี่ย เป็นจุดเด่นของกลุ่มบริษัทแล้วเราก็จะเลือกการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการที่แข็งแกร่งนะคะ แล้วก็ตอบสนองกับเทรนด์ตอนนี้ ก็คือเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติค่ะ แล้วก็ใช้อะไรที่ได้รับผลจริง แล้วก็ไม่ส่งให้ก่อให้เกิดimpact ที่ไม่ดีในอนาคตค่ะ” ดร.ธีรญา กล่าว

ส่วนกรณีการปรับขึ้น ภาษีสหรัฐฯ ทางบริษัทฯ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นโอกาสมากกว่าจะเป็นความเสี่ยง เนื่องจากความต้องการในการย้ายฐานการผลิตจากผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรป ที่เริ่มมีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมาขึ้น

ขณะที่ ภาพรวมช่วงครึ่งแรกปี 2568 ทั้งไตรมาส 1-2 ถือว่าผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ไว้ และในช่วงปี 2568–2569 หลังจากที่กลุ่มบริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) มีแผนดำเนินโครงการหลักอยู่ 2 โปรเจกต์หลัก  คือ การพัฒนายาสมุนไพรต่างๆ อาทิ Colosure ที่ผ่านการศึกษาเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงมีแผนจะพัฒนาเพิ่มเติม 4 โครงการ ภายใต้เงินลงทุนเกือบ 100 ล้านบาท ซึ่งมีการลงทุนเครื่องจักรร่วมด้วย สุดท้ายนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีที่ 24% และในปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโตแบบออร์แกนิก (Organic Growth) ในอัตราที่สูงถึง 15-30% พร้อมวางแผนรายได้แตะ 600 ล้านบาท ส่วนปี 2569 อยู่ที่ 700 ล้านบาท

Company Snapshot

Back to top button