CLSA ชี้กองทุนอังกฤษสนใจหุ้นไทย ชู BCP-CPN-PTTGC ราคาต่ำ-พื้นฐานดี

CLSA มองกองทุนอังกฤษสนใจหุ้นไทยยังมีโอกาสลงทุน แนะสะสม BCP–CPN–PTTGC รับราคาต่ำ–พื้นฐานดี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและการเมืองยังผันผวน


บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA เปิดเผยถึงมุมมองของนักลงทุนสถาบันในสหราชอาณาจักร ภายหลังการจัดกิจกรรม Non-Deal Roadshow ร่วมกับ 6 บริษัทจดทะเบียนไทย โดยมีการเดินทางพบปะ 10 กองทุนชั้นนำในอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ การเมือง และจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยพบว่านักลงทุนยังคงมีท่าทีระมัดระวังต่อการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ยังคงแสดงความสนใจต่อหุ้นไทยที่มีราคาซื้อขายในระดับต่ำหรือมีมูลค่าที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ อาทิ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

ในขณะเดียวกัน นักลงทุนบางรายยังคงถือครองหุ้นในกลุ่ม Defensive และกลุ่มธนาคาร เช่น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและไม่มีประเด็นลบที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ นักลงทุนหลายรายประเมินว่า ราคาหุ้นของหลายบริษัทได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้วในระดับหนึ่ง และสามารถยอมรับความผันผวนหรือขาดทุนระยะสั้นได้ หากประเมินว่าหุ้นมีมูลค่าที่เหมาะสมและมีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว

BCP ถูกมองว่าเป็นหุ้นที่มีส่วนลดจากการจัดการสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ PTTGC มีส่วนลดจากมูลค่าทางบัญชี หลังการบันทึกด้อยค่าทรัพย์สินของ Allnex ซึ่งทำให้ความกังวลต่อปัจจัยลบเบาบางลง ส่วน CPN ได้รับความสนใจจากนักลงทุนในเชิงโครงสร้างธุรกิจ โมเดลรายได้ที่ยั่งยืน ธรรมาภิบาลของบริษัท และระดับอัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (PE ratio) ที่ต่ำกว่า 15 เท่า

ประเด็นการเมืองยังเป็นหัวข้อหลักที่ถูกหารือระหว่าง CLSA และนักลงทุน โดยเฉพาะร่างงบประมาณประจำปี 2569 ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีพักรักษาตัวของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 และข้อเสนอการแก้ไขกฎหมายจากพรรคการเมือง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกรกฎาคม 2568 รวมถึงกรณีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ที่อาจต้องใช้ระยะเวลาในการสอบสวนราว 6-12 เดือน อย่างไรก็ดี CLSA ประเมินว่าสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงความเป็นไปได้ในการปรับคณะรัฐมนตรี จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในเชิงนัยสำคัญ

นอกจากปัจจัยการเมือง นักลงทุนยังแสดงความกังวลต่อปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศไทยในสองมิติ ได้แก่ ปัญหาระยะยาว เช่น ระดับหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง สังคมผู้สูงวัย และการขาดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ส่วนประเด็นระยะสั้น เช่น ข่าวเชิงลบในโซเชียลมีเดีย อาทิ กรณีนักแสดงจีนถูกลักพาตัว และเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยว รวมถึงจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ประเมินว่า ประเด็นเหล่านี้เป็นปัญหาระยะสั้นและไม่ได้ถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลหรือท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังเชื่อมั่นในศักยภาพพื้นฐานของประเทศไทยจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเป็นมิตรของประชาชน และกิจกรรมความบันเทิงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยต่างชาติในระยะยาว

แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 ของหลายกลุ่มอุตสาหกรรมจะยังคงอ่อนแอเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่นักลงทุนยังคงมองข้ามปัจจัยลบระยะสั้น และให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางพื้นฐาน

โดยฝ่ายวิเคราะห์ของ CLSA ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น CPALL, CPN และบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP รวมถึงหุ้นวัฏจักรอย่าง BCP, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และ PTTGC

ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ชื่นชอบ BCP มากกว่า TOP เนื่องจากความล่าช้าในโครงการ Clean Fuel Project ของ TOP ขณะที่ IVL ได้รับความสนใจเหนือกว่า PTTGC จากแผนลดหนี้และการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

Back to top button