CLSA ชี้ SET ปีนี้ฟื้นตัว 12% รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า “หุ้นแบงก์-วัฏจักร”

CLSA ชี้ดัชนี SET ฟื้นตัวแล้ว 12% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน หลังต่างชาติเร่งสะสมหุ้นธนาคารและหุ้นวัฏจักร อาทิ BBL, KBANK, CPF, PTT, SCC หนุนกระแสเงินไหลเข้าตลาดไทย ขณะที่หุ้น Domestic Play ถูกขายต่อเนื่อง เหตุเศรษฐกิจ–การเมืองยังเป็นปัจจัยกดดัน


บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่าช่วงไตรมาสก่อนหน้าถึงปัจจุบัน (QTD) โดยดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นแล้วราว 12% หรือฟื้นตัวกว่า 18% จากระดับต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ส่วนถึงแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย SET Index สะท้อนภาวะการเปลี่ยนหมวดหมู่การลงทุนอย่างชัดเจน โดยพบว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ยังคงโดดเด่นในฐานะหุ้นเด่นที่ต่างชาติซื้อสะสม อาทิ BBL, KBANK, KTB, KKP, SCB, TTB และ TISCO แม้การเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว แต่ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงและมูลค่าหุ้นที่ยังไม่แพงยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้น

ขณะที่ กลุ่มหุ้นวัฏจักร อาทิ CPF, PTT, TOP, SCC พร้อมกับ ADVANC และ DELTA นับเป็นกลุ่มที่มีเม็ดเงินไหลเข้าจากฝั่ง NVDR และนักลงทุนต่างชาติสูงสุดในรอบเดือนที่ผ่านมา

รวมไปถึงข่าวนโยบาย “ต่อต้าน Involution” ของประเทศจีน ประกอบกับการปรับลดกำลังการผลิตปิโตรเคมีของเกาหลีใต้ นับเป็นสัญญาณหนุนให้หุ้นกลุ่มวัฏจักร อย่าง IRPC, IVL, PTTGC และ SCC มีโอกาสฟื้นตัวกลับจากระดับต่ำสุดที่ผ่านมา

ขณะที่หุ้น Domestic Play กลับถูกขายและได้รับความนิยมลดลงจากนักลงทุนต่างประเทศ อันเป็นผลจากความกังวลต่อปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการปฏิรูป สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ล่าช้า รวมทั้งแนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ที่คาดการณ์จะอ่อนแอ

รวมไปถึง ส่วนหุ้นกลุ่มที่ถูกขายออกมากที่สุดในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ BDMS, BTS, CPALL, CRC, TIDLOR โดยเฉพาะ SACA ที่ขายหุ้น 16.30% ให้กับ BAY เป็นต้น

ส่วนหุ้นกลุ่มบริโภค ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการถูกปรับลดมูลค่าสะท้อนผ่านกระแสเงินทุน (Fund Flow) ที่ไหลออก ต่อเนื่องจากความกังวลต่อการบริโภคที่อ่อนแอ และมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการในไตรมาส 3/2568

หากมองไปตั้งแต่ต้นปี จะพบว่า นักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิรวมมูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเพียงเดือนกรกฎาคมที่เห็นการซื้อสุทธิ 490 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องการไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างที่ชัดเจน สถานการณ์การเมือง ความล่าช้าของการฟื้นตัวท่องเที่ยวและกำไรบริษัทที่ยังไม่ชัดเจนยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ

สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด มีด้วยกัน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.) คำตัดสินคดีหมิ่นฯ ของนายทักษิณ ในวันที่ 22 ส.ค. ซึ่งศาลยกฟ้อง 2.) คำวินิจฉัยกรณีไฟล์เสียงที่เกี่ยวโยงกับนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งถูกมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุดและอาจนำไปสู่ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และ 3.) คำตัดสินคดีเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของนายทักษิณ ในวันที่ 9 ก.ย.

ขณะเดียวกัน ได้มีการตัด OSP ออกจากหุ้นเด่น เนื่องจากยังขาดปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน ขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดยังคงขาดความยั่งยืน

ในสภาวะที่ยังไร้ปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดจะขาดความยั่งยืน ปัจจัยที่บ่งชี้การฟื้นรอบใหม่อย่างแท้จริงคือจำนวน “นักท่องเที่ยว” เพราะมีผลต่อการบริโภค การค้าปลีก และกลุ่มธนาคารแบบ Spillover Effect ตั้งแต่ต้นปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 20.8 ล้านคน ต่ำกว่าปีก่อน 7% อยู่ที่ 84% ของระดับก่อนโควิด และคิดเป็น 57% ของเป้าหมาย 36.5 ล้านคนของปีนี้ จึงตัด OSP ออกจากหุ้นเด่น จากความกังวลดีมานด์ชะลอในครึ่งปีหลัง ขณะที่ พอร์ตหุ้นเด่นใหม่ประกอบด้วย BDMS, CPALL, CPAXT, CRC, CPN, MTC, IVL และ WHA

Back to top button