CGSI แนะกลยุทธ์ Selective Buy รับเงินเฟ้อชะลอ-ดอกเบี้ยขาลง

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชันแนล ประเมินตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยในประเทศ แม้ Valuation ไม่แพง ชี้กลยุทธ์เน้นซื้อหุ้นรายตัว รับโอกาสดอกเบี้ยลดจากเงินฝืด


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ยังมี Valuation ที่น่าสนใจ โดยอยู่ที่ระดับ 12 เท่าของค่าเฉลี่ยกำไรต่อหุ้นล่วงหน้าในช่วง 12 เดือน (12m forward PE) แม้จะรีบาวด์มาแล้วราว 7% ภายหลังการหยุดใช้มาตรการภาษีตอบโต้ 90 วัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่เห็นปัจจัยหนุนในเชิงจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังดำเนินต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลอาจไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ แม้จะมีเงินทุนใหม่จากกองทุน TESGX ประมาณ 60,000 ล้านบาท และอีกประมาณ 8,000 ล้านบาทตามการประเมินของ CGSI แต่ SET Index ยังคงให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดต่างประเทศในช่วง 1, 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยปัจจัยลบภายในประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ต่ำกว่าคาด ยังคงเป็นแรงกดดันหลัก แตกต่างจากประเทศอื่นที่เผชิญเฉพาะปัจจัยภายนอกอย่างมาตรการภาษีนำเข้า

โดย CGSI แนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” สำหรับนักลงทุน โดยเน้นหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีและแนวโน้มฟื้นตัวในระยะสั้นถึงกลาง ได้แก่ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่ราคาปรับฐานแรง เช่น CENTEL, SHR, ERW กลุ่มโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น เช่น PR9, BDMS หุ้น Non-bank ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC, TIDLOR รวมถึงหุ้น High yield เช่น SCB, KTB, SIRI และ PTTEP ตลอดจนหุ้นค้าปลีกบางตัวที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี อาทิ CPALL, BJC และ MOSHI

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือนพฤษภาคม โดยคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) จะหดตัวลง 0.83% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 0.22% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) คาดว่าจะขยายตัว 0.95% จากปีก่อนหน้า จากเดือนก่อนที่ 0.98% จากปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทรายงานว่าการหดตัวของ CPI สะท้อนภาวะเงินฝืดจากฐานที่สูงในปีก่อนและการลดค่าไฟฟ้า อันเป็นปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

หุ้นแนะนำเด่นของ CGSI ได้แก่:

MTC: แนะนำเก็งกำไร รับอานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง และภาวะเงินฝืดในช่วงไตรมาส 2-4 ของปี 2568 โดยผู้บริหารตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อ 15% ในปีนี้ ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) คาดว่าจะเติบโต 16.8-22.4% ต่อปีในช่วงปี 2568-2570 (ระดับ Take profit ที่ 41.50 บาท / Stop loss ที่ 39.00 บาท)

SPALI: แนะนำเก็งกำไรระยะสั้น คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 เป็นระดับต่ำสุดของปี และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 จากการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์และส่วนแบ่งกำไร โดยมี Dividend Yield เฉลี่ย 8.7-10.5% ในปี 2568-2570 (ระดับ Take profit ที่ 15.80 บาท / Stop loss ที่ 13.40 บาท)

Back to top button