CGSI แนะเก็บหุ้น Defensive รับมือ SET มิ.ย.ผันผวน

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชันแนล คาด SET เดือนมิ.ย.เผชิญแรงกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลก ชี้หุ้น Defensive ยังน่าสนใจลงทุน


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด ระบุถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ว่าจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้ หลังเกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เกี่ยวกับการทวงคืนกระทรวงมหาดไทย ซึ่งส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว

ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดจากสถานการณ์การค้าโลกยังคงซ้ำเติมภาพรวมเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุน ทำให้ CGSI ประเมินว่า ดัชนี SET ในเดือนมิถุนายนอาจไม่สดใส แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนรวมเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (TESGX) ซึ่งมีเส้นตายรับสิทธิลดหย่อนภาษีสิ้นสุดในเดือนนี้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ CGSI ระบุว่า ความสนใจของประชาชนต่อ TESGX ที่เปิดขายในเดือนพฤษภาคม 2568 ยังอยู่ในระดับต่ำ แม้รัฐบาลจะให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 500,000 บาท อีกทั้งนักลงทุนที่ถือกองทุน LTF เดิมซึ่งมีสินทรัพย์รวม 1.38 แสนล้านบาท ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 สามารถโอนเงินลงทุนไปยัง TESGX ได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน แต่ยอดโอนจริงอาจอยู่เพียงหนึ่งในสามของคาดการณ์เดิมที่ประมาณครึ่งหนึ่ง เนื่องจาก TESGX ต้องถือครองขั้นต่ำ 5 ปี จึงมีแนวโน้มว่านักลงทุนจำนวนมากจะชะลอการโอนเงินเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม

ด้านมูลค่าตลาด CGSI ประเมินว่า ดัชนี SET ปรับขึ้นราว 7% จากจุดต่ำสุด จากแรงหนุนของการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า ทำให้ดัชนีกลับมาอยู่ที่ระดับ P/E ล่วงหน้า 12 เดือน ราว 12 เท่า ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีต แต่ด้วย sentiment เชิงลบจากปัจจัยการเมืองในประเทศจึงยังคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 2568 ที่ 1,200 จุด เทียบเท่า P/E ปี 2569 ที่ 13.4 เท่า หรืออยู่ที่ระดับ -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี

CGSI แนะนำกลยุทธ์การลงทุนเน้นไปยังกลุ่ม Domestic defensive และ High-yield play ที่มีความมั่นคงและผลตอบแทนดี โดยเลือกหุ้นเด่นประจำเดือน ได้แก่ BDMS, CPN, ERW, GULF, MTC และ PR9 พร้อมเตือนว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายใน อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจเป็นปัจจัยหนุนตลาดในระยะถัดไป

Back to top button