“พาณิชย์” เปิดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.แตะ 48.9 ขยับขึ้นเล็กน้อย

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. แตะ 48.9 ปรับเพิ่มเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากแรงหนุนแผนเศรษฐกิจรัฐ ผ่อนคลายมาตรการภาษีสหรัฐฯ ขณะเดียวกันยังต้องจับตาแรงกดดันภาวะหนี้-ราคาสินค้าเกษตร และทิศทางเศรษฐกิจโลก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 มิ.ย.68) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 5,473 รายทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 48.8 ในเดือนเมษายน แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ “ความเชื่อมั่น” สะท้อนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงยืดเยื้อ

โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก 1. การปรับแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ประจำปี 2568 ให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจการค้าโลก โดยมีการลงทุนในโครงการใหม่ที่มีศักยภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว แทนโครงการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเลต รอบ 3 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย

และ 2. ความกังวลของภาคธุรกิจต่อมาตรการทางการค้าสหรัฐอเมริกาผ่อนคลายลง จากการชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การนำเข้าสินค้า (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน จนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 รวมทั้งการส่งออกของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากการเร่งส่งมอบสินค้าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการค้าไทย

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อระดับหนี้ครัวเรือน และภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดของไทยและประเทศคู่แข่งขันที่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่ออกสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุด 49.84% รองลงมา มาตรการของภาครัฐ 14.11% เศรษฐกิจโลก 9.76% ราคาสินค้าเกษตร 8.31% ขณะที่ สังคมและความมั่นคง 6.91% การเมือง 4.49% ภัยพิบัติและโรคระบาด 3.49% ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง2.72 % และอื่น ๆ 0.37% ตามลำดับ

ขณะที่การจำแนกดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคตามภูมิภาค พบว่า มีเพียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อยู่ในระดับ “ช่วงเชื่อมั่น” โดยอยู่ที่ 53.0 ส่วนภูมิภาคอื่นยังอยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 49.3, ภาคใต้ 47.7, ภาคกลาง 47.4 และภาคเหนือ 45.7 ซึ่งปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า

เมื่อจำแนกตามอาชีพ พบว่า จาก 7 กลุ่มอาชีพ มีเพียง “พนักงานของรัฐ” ที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น อยู่ที่ระดับ 53.0 ขณะที่อีก 6 กลุ่มอาชีพยังอยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น ได้แก่ ผู้ประกอบการ และนักศึกษา อยู่ที่ระดับ 49.2, เกษตรกร 49.9, พนักงานเอกชน 47.8, อาชีพรับจ้างอิสระ 46.6 และกลุ่มไม่ได้ทำงาน/บำนาญ 46.3 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ติดตามพฤติกรรมการบริโภค พบว่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำที่สุด โดยอยู่ที่ 35.7

นายพูนพงษ์  กล่าวอีกว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผลจากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังคงส่งผลกระทบสำคัญต่อระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงปัจจัยกดดันภายในประเทศ อาทิ กำลังซื้อที่ลดลง ภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามฤดูกาล และผลของสภาพภูมิอากาศในช่วงฤดูฝน

อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลและการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน อาทิ การปรับแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งจะสามารถช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาเป็นรากฐานในการพัฒนาระยะยาวต่อไป รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว อาทิ การอำนวยความสะดวกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการประกาศแผนโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งสำหรับการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ นอกจากนี้ ภาครัฐยังคงติดตามสถานการณ์การใช้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการเจรจา อย่างรอบด้านเพื่อให้การเจรจาบรรลุผลสำเร็จโดยเร็วและเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะยังคงเดินหน้าดำเนินมาตรการเพื่อลดความกังวลของประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ โครงการเปิดเทอมเติมพลัง เพื่อช่วยในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน การติดตามสถานการณ์ผลผลิตทางการเกษตรอย่างใกล้ชิดและดำเนินมาตรการเชิงรุกในการกระจายผลผลิตผ่านการจับคู่ธุรกิจใหม่และการหาตลาดเพิ่มเติมทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน

รวมทั้งศึกษาสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภาษีสหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการและขยายโอกาสทางการค้าจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเขตการค้าสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ไทย – สหภาพยุโรป เพื่อขยายตลาดและลดความกดดันจากสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือในตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ อาทิ FTA ไทย – กลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

Back to top button