
NUT ดีเดย์เทรดวันนี้! ลุ้นวิ่งชนเป้า 14 บาท โบรกชี้ศักยภาพโตสูง กำไรปีนี้ 103 ล้าน
NUT เตรียมเข้าซื้อขายใน mai วันนี้ โบรกชูเป้าสูงสุด 14 บาท ชี้มีศักยภาพเติบโตสูง รับอานิสงส์เทรนด์สุขภาพ และมีช่องทางขายหลากหลาย หนุนกำไรปี 68 พุ่ง 103 ลบ. พร้อมคาด CARG โตเฉลี่ย 39% ถึงปี 67
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 มิ.ย.68) หลักทรัพย์ บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) หรือ NUT เตรียมเข้าจดทะเบียนและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ด้าน นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ตลาด mai ได้รับหุ้นสามัญของบริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) หรือ NUT เข้าจดทะเบียนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และจะเริ่มซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 11 มิถุนายน 2568 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “NUT”
โดย NUT ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางครบวงจร ทั้งในรูปแบบ House Brand, Co-Brand และรับจ้างผลิต (OEM) โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มสุขภาพ (Health), รูปร่าง (Shape), เส้นผมและผิว (Hair&Skin) รวมถึงกลุ่มเครื่องสำอาง เช่น Personal Care และ SkinCare ซึ่งแบรนด์สำคัญ ได้แก่ “REALELIXI” และ “COSMESIA”
สำหรับในไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนรายได้ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ House Brand อยู่ที่ 73% Co-Brand 20% และ OEM 7% ส่วนช่องทางจำหน่าย Online มีสัดส่วนสูงสุด 76% Offline 17% และ OEM 7% ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิต 3 แห่งในจังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารเสริม 2 แห่ง และเครื่องสำอาง 1 แห่ง ซึ่งสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้ภายในบริษัท
ทั้งนี้ NUT มีทุนชำระแล้วหลัง IPO จำนวน 60 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็นหุ้นเดิม 83 ล้านหุ้น และหุ้นเพิ่มทุน 37 ล้านหุ้น เสนอขายแก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายและนักลงทุนสถาบัน, ผู้มีอุปการคุณของบริษัท รวมถึงผู้บริหารและพนักงาน รวมทั้งหมดในราคาหุ้นละ 6.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 251.6 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO เท่ากับ 816 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 12.72 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 64.13 ล้านบาท ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (1 เม.ย. 67 – 31 มี.ค. 68) ซึ่งเท่ากับกำไรต่อหุ้น 0.5344 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นแบบ fully diluted โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้
นายภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NUT กล่าวว่า บริษัทมีประสบการณ์กว่า 10 ปีในการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผลิตตามมาตรฐาน ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย พร้อมเผยว่าเงินที่ได้รับจากการระดมทุนจะนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ ผลิตคอนเทนต์ และจ้างพรีเซ็นเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งกลุ่มอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ หลัง IPO โครงสร้างผู้ถือหุ้นของ NUT จะประกอบด้วยกลุ่มครอบครัวกิตติภานุวัฒน์ถือหุ้นรวม 66.5% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและเงินสำรองตามกฎหมาย
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ บีวายดี จำกัด ออกบทวิเคราะห์ประเมินศักยภาพการเติบโตของหุ้น NUT ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง ภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง แบรนด์ร่วม และรูปแบบรับจ้างผลิต (OEM) โดยมีจุดแข็งด้านมาตรฐานการผลิตที่เข้มงวดและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ทำให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้อย่างแข็งแกร่ง และมีโอกาสขยายตลาดอย่างต่อเนื่องในอนาคต
บล.ฟิลลิป คาดการณ์รายได้รวมปี 2568 อยู่ที่ 1,254 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเสริมอาหารภายในประเทศ และการลดลงของต้นทุนจัดจำหน่ายจากการขยายช่องทางออฟไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโฆษณาลดลง ขณะที่ Gross Profit คาดอยู่ที่ 1,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.65% และ EBITDA คาดที่ 153 ล้านบาท โต 50.51% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิปี 2568 คาดอยู่ที่ 103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 14.00 บาท อิง P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ระดับ 15.79 เท่า โดยเทียบกับ MEGA ซึ่งเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ด้าน บล.บีวายดี เสริมว่า จุดแข็งของ NUT อยู่ที่โครงสร้างการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่พึ่งพิงช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากเกินไป ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ อีกทั้งการมีโรงงานเป็นของตัวเองช่วยให้ควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้ดี ทำให้เกิดการซื้อซ้ำของลูกค้า และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 85% ซึ่งเหนือกว่าคู่แข่งโดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ที่บริษัทสามารถลงทุนโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ประเมินว่า หลังการระดมทุนจาก IPO บริษัทได้วางกลยุทธ์การเติบโตไว้ชัดเจน ได้แก่ การรักษาฐานลูกค้าออนไลน์เดิมเพื่อลดความผันผวนของรายได้ การพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละช่องทาง และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกลุ่มเครื่องสำอางที่มีอัตรากำไรสูงกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 39% ในช่วงปี 2568-2570 โดยจะอยู่ที่ 101 ล้านบาทในปี 2568, 119 ล้านบาทในปี 2569 และ 149 ล้านบาทในปี 2570
ทั้งนี้ บล.บีวายดี ประเมินราคาเหมาะสมของ NUT ไว้ที่ 12.60 บาท อิง P/E ปี 2568 ที่ 15 เท่า สะท้อนศักยภาพการเติบโตจากแนวโน้มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสอดรับกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน และมีโอกาสสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยบทวิเคราะห์ว่า จุดแข็งของ NUT สะท้อนผ่านค่านิยมองค์กร 3 ประการ ได้แก่ Noble (ความมีคุณธรรม), Unity (ความสามัคคี), และ Transparency (ความโปร่งใส) ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยแปลงเป็นจุดแข็งใน 3 มิติ ได้แก่ วัตถุดิบแท้คุณภาพสูง ทุนมนุษย์ที่มีทักษะในการเข้าถึงลูกค้า และการบูรณาการระหว่างผลิตภัณฑ์ การตลาด และผู้บริโภค
สำหรับกลยุทธ์การเติบโต บริษัทใช้แนวทางสร้างรายได้จากลูกค้า แบรนด์ และสินค้าอย่างมีระบบ โดยบล.โกลเบล็กคาดการณ์ว่า NUT จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 28.9% ต่อปี ระหว่างปี 2567–2570 จากระดับ 55 ล้านบาทในปี 2567 เป็น 90 ล้านบาทในปี 2568 และแตะ 118 ล้านบาทในปี 2570 โดยปัจจัยหนุนหลัก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของจำนวนลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ การขยายสัดส่วนรายได้จากแบรนด์ของบริษัทเอง (House Brand) และการออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งจุดเด่นของ NUT คือโมเดลต้นทุนสินค้าต่อรายได้ (COGS) ที่ต่ำเพียง 15% ซึ่งแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด โดยบริษัทเลือกเน้นการลงทุนด้านค่าใช้จ่ายเพื่อการขายและการตลาด (S&D) ทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นหลัก ด้วยยุทธศาสตร์ “ออนไลน์เพื่อหาลูกค้าใหม่ ออฟไลน์เพื่อสร้างการซื้อซ้ำ” ทำให้สามารถบริหารต้นทุนการตลาด เช่น ค่าโฆษณาบน Facebook ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างฐานลูกค้าประจำที่มีคุณภาพ
บล.โกลเบล็ก ประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้น NUT ที่ 10.50 บาท อิงจากค่า P/E ปี 2568 ที่ระดับ 14 เท่า โดยใช้ EPS คาดการณ์ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรและอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ที่ดีขึ้น จะเป็นผลจากการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายด้าน S&D และค่าจ้างต่อรายได้ที่ลดลง การเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากแบรนด์ของบริษัท และการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้บริษัทมีการเติบโตที่ยั่งยืนและได้รับการประเมินมูลค่าในระดับพรีเมียมในอนาคต