“นายก” สั่ง ปปง. ลุยปราบ “สแกมเมอร์” ชี้หากไม่เด็ดขาด ไทยเสี่ยงโดนแซงชั่น

นายกฯ “อนุทิน” มอบนโยบาย ปปง. เร่งสกัดเส้นทางเงินมิจฉาชีพ ย้ำ “เงินสกปรกคือเงินดำ ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด” เตือนหากไม่ดำเนินการเด็ดขาด ไทยเสี่ยงถูกแซงชั่นจากนานาชาติ ขณะ ปปง. รายงานยึดทรัพย์แล้วกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท ปิดบัญชีม้ากว่า 8 แสนบัญชี พร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี AI รับมืออาชญากรรมการเงินยุคใหม่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 พ.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายผู้บริหารสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยมีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธาน ปปง. และนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. เข้าร่วมประชุม

นายอนุทิน กล่าวมอบนโยบายว่า ปัจจุบันภารกิจของ ปปง. ได้รับความสนใจจากประชาชนและนานาชาติอย่างมาก เพราะประเทศกำลังเผชิญปัญหาสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างหนัก ย้ำว่า “เงินสกปรกคือเงินดำ ไม่ใช่เงินเทา ฟอกอย่างไรก็ไม่สะอาด” พร้อมระบุว่า ปปง. มีบทบาทสำคัญในการสกัดเส้นทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ

“ช่วงนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องสแกมเมอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ ถ้าเราดำเนินการไม่เด็ดขาด ไม่เต็มที่ ไม่ใช่แค่ถูกมองว่าไม่มีผลงาน แต่ประเทศอาจเผชิญการแซงชั่น (มาตรการคว่ำบาตร) และถูกกีดกันจากนานาชาติ” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมยอมรับว่า การทำงานครั้งนี้มีแรงกดดันสูง เพราะเกี่ยวข้องกับความเชื่อมั่นของประเทศและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ

นายอนุทิน ระบุเพิ่มเติมว่า แม้ข้าราชการจะมีเงินเดือนและสวัสดิการรองรับ แต่ต้องคำนึงถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรออนไลน์ รัฐบาลจึงต้องทำงานอย่างจริงจังและเร่งด่วน เพื่อคุ้มครองประชาชนและรักษาความเชื่อมั่นประเทศ

ในเวทีเอเปคที่เกาหลีใต้ อาชญากรรมข้ามชาติและสแกมเมอร์ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญ ไทยจึงเสนอเป็นเจ้าภาพประชุมนานาชาติว่าด้วยการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อยกระดับความร่วมมือและเสริมบทบาทของไทยในเวทีโลก

นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้ ปปง. เป็นองค์กรหลักในการจัดทำยุทธศาสตร์เชิงรุก ให้เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมสั่งการให้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการตรวจสอบ ยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ และคืนเงินแก่ผู้เสียหายอย่างทันท่วงที

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีเวลา 4 เดือนในการเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยจะสนับสนุนทุกหน่วยงาน ทั้งด้านเครื่องมือ เทคโนโลยี และกฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพข้ามชาติ รวมถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน

“รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์อย่างจริงจัง เป็นวาระแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นใครที่กระทำผิด หรือเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ต้องถูกลงโทษโดยไม่มีข้อยกเว้น” นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) ร่วมกับหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อบูรณาการการทำงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตทางการเงิน มุ่งเน้นการตรวจสอบ กำกับดูแล และแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับการกระทำผิดทางการเงิน รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักและลดความเสี่ยงจากกลโกงออนไลน์

ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ รายงานผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมาว่า ปปง. ยึดทรัพย์ได้แล้วกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท ดำเนินคดีอาญา 160 คดี และปิดบัญชีม้ากว่า 800,000 บัญชี มูลค่าเงินค้างในระบบกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการคืนให้ผู้เสียหายตามกฎหมาย พร้อมเสนอให้สนับสนุนด้านกฎหมายและเทคโนโลยี โดยเฉพาะการใช้ระบบ AI เพื่อรับมืออาชญากรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น

นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เป็นกฎหมายฐานรากที่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ไทยเสี่ยงต่อมาตรการลงโทษระหว่างประเทศ โดยขณะนี้ไทยผ่านการประเมินแล้ว 33 จาก 40 ข้อ และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนการประเมินรอบใหม่ในปี 2571

นายฉัตรชัย ยังเสนอ “โครงการปปง.ภาคประชาชน” เพื่อเชื่อมโยงการบังคับใช้กฎหมายระดับท้องถิ่น โดยคัดเลือกผู้เหมาะสม 160 คนทั่วประเทศ พร้อมขอให้นายกรัฐมนตรีเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ารับนโยบาย เพื่อเสริมเครือข่ายป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน และผลักดันให้วาระ ปปง. เป็นวาระการประชุมประจำเดือนของทุกจังหวัด

Back to top button