CGSI ชี้ยอดขายสาขาเดิม “กลุ่มค้าปลีก” เม.ย.-พ.ค. หดตัว สะท้อนกำลังซื้ออ่อนแอ

CGSI ชี้ยอดขายสาขาเดิมกลุ่มค้าปลีกในเดือน เม.ย.-พ.ค. หดตัวชัดเจนจากปัจจัยลบแผ่นดินไหว และสภาพอากาศกลับสู่ภาวะปกติหลังเอลนีโญ แต่ยังชู BJC-CPALL-MOSHI เป็นหุ้นเด่น รับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป


ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า กลุ่มค้าปลีกในประเทศไทยแสดงสัญญาณความตึงเครียดทางการบริโภคอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2568 จากการที่ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของผู้ค้าปลีกเกือบทุกกลุ่มชะลอตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในระยะสั้น เช่น เหตุแผ่นดินไหวช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าเข้าศูนย์การค้าลดลง และสภาพอากาศที่กลับสู่ภาวะปกติหลังเอลนีโญ ทำให้ยอดขายสินค้าฤดูกาล เช่น เครื่องปรับอากาศและพัดลม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ยังกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค ส่งผลให้ครัวเรือนใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกัน SSSG ของแต่ละประเภทร้านค้ามีความแตกต่างกันมากขึ้น สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ขณะที่ CGSI คาดว่า ร้านค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยคาดว่า SSSG ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมอยู่ในช่วง -1.5% ถึง +2.5% ลดลงจากระดับ 0% ถึง +3% ในไตรมาสแรกของปี ขณะที่ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง (Home improvement) มีผลประกอบการอ่อนแอจากการชะลอตัวของการสร้างบ้านและฝนที่ตกเร็วกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อยอดขาย

ส่วนกลุ่มแฟชั่น CGSI ประเมินว่า SSSG ติดลบในช่วง -3% ถึง -14% เทียบกับ -8% ถึง 0% ในไตรมาสแรก จากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลงและนักท่องเที่ยวที่เบาบาง อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ราคาถูกกลับเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะ MOSHI ที่ยังคงขยายตัวแข็งแกร่งทั้งในช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ แม้ตัดผลบวกจากฐานต่ำในปีก่อน

ทั้งนี้ CGSI ระบุว่า แม้ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกซื้อขายที่ระดับ P/E ล่วงหน้าต่ำสุดในรอบ 16 ปี แต่ได้ปรับคำแนะนำจาก “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน” เป็น “คงน้ำหนักการลงทุน” เนื่องจากการบริโภคฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ โดยแนะนำ BJC และ CPALL เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีความมั่นคง และ MOSHI ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม Home improvement จากความไม่แน่นอนของอุปสงค์และความเสี่ยงด้านอัตรากำไร โดยระบุว่า ปัจจัยหนุนกลุ่มค้าปลีกจะมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยเสี่ยงยังคงเป็นการใช้จ่ายที่ซบเซา และความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

Back to top button