
น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง 7% หลังวิกฤตสงคราม “อิสราเอล-อิหร่าน” เดือดระอุ
ราคาน้ำมัน WTI ปิดบวก 7% ที่ 74.23 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านปะทุรุนแรง นักลงทุนหวั่นซัพพลายตะวันออกกลางสะดุด โดยเฉพาะหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (14 มิ.ย. 68) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 7% ในวันศุกร์ (13 มิ.ย.) หลังจากอิสราเอลและอิหร่านโจมตีทางอากาศโต้ตอบกัน ซึ่งจุดชนวนความกังวลของนักลงทุนว่า ความขัดแย้งอาจกระทบต่อการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลางในวงกว้าง ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 4.94 ดอลลาร์ หรือ 7.26% ปิดที่ 72.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 4.87 ดอลลาร์ หรือ 7.02% ปิดที่ 74.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ในระหว่างวัน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นมากกว่า 14% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. ที่ 77.62 ดอลลาร์ และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นมากกว่า 13% ไปแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 78.50 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. ทั้งสองสัญญาปรับตัวขึ้นในวันเดียวกันมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่รัสเซียรุกรานยูเครนและส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ อิสราเอล เปิดเผยว่า ได้โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตขีปนาวุธ และผู้บัญชาการทหารของอิหร่าน โดยเตือนว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการระยะยาว เพื่อสกัดไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านก็ให้คำมั่นว่าจะตอบโต้กลับอย่างสาสม
เพียงไม่นานหลังการซื้อขายสิ้นสุดลงในวันศุกร์ สื่อหลายสำนักรายงานว่า ขีปนาวุธของอิหร่านพุ่งถล่มอาคารในกรุงเทลอาวีฟของอิสราเอล พร้อมกับมีเสียงระเบิดในพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศ
ด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้อิหร่านทำข้อตกลงเรื่องโครงการนิวเคลียร์ เพื่อยุติ การโจมตีครั้งต่อไปที่มีการวางแผนไว้แล้ว
ขณะที่บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านแถลงว่าสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกลั่นและการเก็บน้ำมันยังไม่ได้รับความเสียหาย และยังคงดำเนินงานได้ตามปกติ โดยอิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปก ผลิตน้ำมันอยู่ราว 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมันและเชื้อเพลิงมากกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นักวิเคราะห์ ระบุว่า กำลังการผลิตสำรองของโอเปกและพันธมิตร รวมถึงรัสเซียนั้นมีเพียงพอที่จะชดเชยการหยุดชะงักได้ประมาณระดับเดียวกับกำลังการผลิตของอิหร่าน
เหตุการณ์ล่าสุดยังทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญ โดยซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิรัก และอิหร่าน ต่างก็ต้องพึ่งพาช่องทางส่งออกเดียวกันผ่านช่องแคบนี้ ราว 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำมันที่ใช้ทั่วโลก หรือประมาณ 18-19 ล้านบาร์เรลต่อวันของน้ำมันดิบ คอนเดนเสต และเชื้อเพลิง ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
นักวิเคราะห์ ระบุว่า จนถึงขณะนี้ การโจมตีของอิสราเอลยังไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิหร่าน เช่น เกาะคาร์ก ซึ่งเป็นท่าเรือส่งออกน้ำมันดิบถึง 90% ของประเทศ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า ความเป็นไปได้ที่สถานการณ์จะลุกลาม อาจนำไปสู่การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์เตือนว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ อิหร่านเองอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะเศรษฐกิจของประเทศพึ่งพาการส่งออกทางทะเลอย่างเต็มที่ และยังอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของน้ำมันอิหร่านโดยตรง