
LEO ปรับแผน “โลจิสติกส์” รับมือปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่มเส้นทางใหม่เวียดนาม
LEO เดินหน้าปรับแผนกลยุทธ์โลจิสติกส์ รับมือปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เล็งเส้นทางใหม่ผ่านเวียดนาม พร้อมรักษาความต่อเนื่องในการส่งออกสินค้า และบริหารความเสี่ยงเชิงรุก-สื่อสารลูกค้าทันที ย้ำยังแจกปันผลสม่ำเสมอ
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยกับทีม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่าจากกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีการปิดด่านบางจุด บริษัทได้มีการปรับแผนการขนส่งอย่างเร่งด่วน โดยหันมาใช้เส้นทางทางเรือและทางอากาศเป็นหลัก พร้อมเพิ่มเส้นทางใหม่ผ่านด่านบาเวต (Bavet) ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนระหว่างประเทศกัมพูชาและเวียดนาม โดยสามารถดำเนินพิธีการทางศุลกากรได้อย่างสะดวกเช่นเดียวกับการผ่านด่านไทย-กัมพูชาเดิม
“ในฐานะผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ หน้าที่ของเราคือการส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถดำเนินการจัดส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่องโดยปราศจากความเสี่ยงต่อการถูกยึดทรัพย์สินหรือได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ” นายเกตติวิทย์กล่าว
พร้อมทั้งระบุว่า บริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว โดยได้พัฒนาและนำเสนอเส้นทางขนส่งทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ส่งออกของไทย
สำหรับภายในกัมพูชา บริษัทมีพันธมิตรคือ Logistics Intelligence (Cambodia) Co., Ltd. หรือ LogiCam ช่วยดูแลด้านเอกสารและการขนส่งในประเทศปลายทาง โดย LEO มีการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก หากเกิดเหตุปิดด่านจะมีการแจ้งลูกค้าทันที พร้อมนำเสนอทางเลือก เช่น การขนส่งทางอากาศหากต้องการความรวดเร็ว หรือทางเรือสำหรับกรณีที่ไม่เร่งด่วน ขณะที่การขนส่งทางรถยังสามารถทำได้ผ่านเส้นทางเวียดนาม แม้จะใช้เวลามากขึ้นเล็กน้อย แต่สามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่อง
นายเกตติวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้นทุนขนส่งย่อมเพิ่มขึ้นตามช่องทางใหม่ แต่โดยเฉลี่ย ต้นทุนโลจิสติกส์ยังคิดเป็นเพียง 15% ของราคาสินค้า การไม่มีสินค้าจำหน่ายจะสร้างผลกระทบมากกว่า ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ยินดีแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการจำหน่ายสินค้า โดยอาจมีการเจรจากับผู้ซื้อปลายทางเพื่อแบ่งเบาภาระร่วมกัน
ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในปัจจุบัน ยังถือว่าอยู่ในวัฏจักรปกติ และไม่ได้ส่งผลกระทบในระดับที่น่ากังวล
“อยากให้มองภาพรวมว่าสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลต่อทุกบริษัท ไม่ใช่เฉพาะ LEO แต่เรายังสามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ และเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง ก็ยิ่งทำให้ dividend yield สูงขึ้น นักลงทุนที่ถือระยะยาวจะเห็นความคุ้มค่าแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่เรา หุ้นใหญ่หลายตัวก็ปรับลดลงเช่นกัน เป็นผลจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งสุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ตลาดก็จะปรับตัวกลับขึ้นมาเอง” นายเกตติวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย