
จับตา KTC หลัง “กองทุน” ช้อนซื้อบิ๊กล็อต อนาคตเป็นอย่างไรต่อ?
จับตา KTC หลัง “กองทุน” ลงมาช้อนซื้อบิ๊กล็อต! หุ้นฟื้นตัวอย่างร้อนแรงหลังราคาดิ่งฟลอร์ 23–24 มิ.ย. สะท้อนกลุ่มกองทุนเริ่มเชื่อมั่นพื้นฐาน ชี้อนาคตหุ้นน่าสนใจ ภายหลังแรงขายมาร์จิ้นคลี่คลาย
เชื่อว่าทุกสายตาต่างจับจ้องไปยัง บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC หลังเกิดปรากฏการณ์ราคาหุ้นในช่วงวันที่ 23-24 มิถุนายน 2568 ที่ปรับตัวลงถึงราคาฟลอร์ติดต่อกัน 2 วันติด จากราคาปิดที่ 34.75 บาท ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2568 ก่อนจะลดลงมาปิดที่ 25 บาทในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เทียบเท่าการปรับตัวลดลงประมาณ 28%
โดยสาเหตุสำคัญที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจ คือการนำหุ้นจำนวนมากถึง 420,204,381 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.30% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วของผู้ถือหุ้นรายใหญ่หนึ่งราย ไปวางเป็นหลักประกันบัญชีมาร์จิ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงขายแบบฟอร์ซเซล (Forced Sell) ออกมา
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ราคาหุ้น KTC สามารถฟื้นตัวอย่างร้อนแรง ปิดที่ระดับ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 25,055.99 ล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าการซื้อขายรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่าซื้อขายรวม 62,662 ล้านบาท โดยราคาหุ้นเคลื่อนไหวในช่วงต่ำสุดที่ 21.80 บาท และสูงสุดที่ 27.00 บาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ 2 วัน ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับฟลอร์ หรือ -15% ตามมาตรการชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขณะเดียวกัน รายงานพบรายการบิ๊กล็อตหุ้น KTC จำนวน 14 รายการ รวมปริมาณกว่า 129.20 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 2,672.84 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 20.69 บาทต่อหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่รายงานก่อนหน้านี้ว่า มี “กองทุน” ขนาดใหญ่เข้ามารับซื้อหุ้น KTC หลังราคาหุ้นปรับลดลงต่อเนื่องจนพื้นฐานหุ้นมีความน่าสนใจและคุ้มค่าต่อการลงทุน
แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งเปิดเผยว่า หุ้น KTC ที่ถูกบังคับขาย (Forced Sell) น่าจะถูกขายหมดแล้ว โดยจำนวนหุ้นที่ใช้วางบัญชีมาร์จิ้นมีประมาณ 420.20 ล้านหุ้น ขณะที่ในวันดังกล่าวมีการซื้อขายหุ้น KTC กว่า 942.40 ล้านหุ้น
ขณะที่วันที่ 26 มิถุนายน 2568 ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 25.50 บาท ลบไป 1.00 บาท หรือ 3.77% โดยมีปริมาณหุ้น 187 ล้านหุ้น ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4,963.36 ล้านบาท
ดังนั้น จำเป็นต้องติดตามว่าการทำรายการบิ๊กล็อตดังกล่าวได้รับการแจ้งผ่านสำนักงาน ก.ล.ต. ว่ากองทุนใดเข้ามารับซื้อบ้าง? ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญที่เปิดโอกาสให้กองทุนอื่นๆ เข้ามาถือหุ้น KTC เพิ่มขึ้น ในระยะถัดไปในอนาคต หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีนักลงทุนรายใหญ่รายหนึ่งถือหุ้น KTC เป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมด และใช้บัญชีมาร์จิ้นควบคุมหุ้นดังกล่าวมายาวนานกว่า 10 ปี
ทั้งนี้ หากดูข้อมูลภาพรวมผู้ถือหุ้นรายใหญ่จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 18 เมษายน 2568 พบว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ที่ถือหุ้นจำนวน 1,270,908,500 หุ้น คิดเป็น 49.29% อันดับสอง นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา ถือหุ้นจำนวน 327,466,600 หุ้น สัดส่วน 12.0% และอันดับสาม นางสาวฉันทนา จิรัฐิติภัทร์ ถือหุ้นจำนวน 127,563,900 หุ้น สัดส่วน 4.95% ส่วนที่เหลือดูจากข้อมูลประกอบด้านล่าง
ด้วยโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่มีเจ้ามือหลักควบคุมหุ้นจำนวนมากนี้ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีผู้ลงทุนรายใหม่เข้ามาถือหุ้นมากนัก รวมถึงกองทุนต่างๆ ก็รับทราบสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีเพียง “กองทุนวายุภักษ์” เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนเพียง 0.57% หรือ 14,779,600 หุ้น
ดังนั้น เมื่อมีการปล่อยขายหุ้นออกมาให้กระจายสู่กลุ่มกองทุนขนาดใหญ่มากขึ้น เชื่อว่ากองทุนอื่นๆ จะทยอยเข้ามาถือหุ้น KTC อย่างต่อเนื่องในอนคต?
นอกจากนี้ นางพิทยา วรปัญญาสกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC ได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงกรณีราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ถึงปัจจุบัน (25 มิถุนายน 2568) ว่า แม้การปรับตัวของราคาหุ้นจะเป็นผลจากปัจจัยภายนอกและกลไกการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ได้รับการสอบถามอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการดำเนินงาน จึงขอแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียได้รับข้อมูลอย่างเท่าเทียมกันว่า ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง ไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทฯ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และหากมีข้อมูลที่มีสาระสำคัญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ บริษัทฯ จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างถูกต้อง ทันเวลา และเท่าเทียม
สำหรับแผนธุรกิจปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อรวมที่ 4-5% พร้อมควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อ (NPL Ratio) ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2% และยังเดินหน้าพัฒนาระบบเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมดเพื่อเพิ่มเสถียรภาพ โดยระบบดังกล่าวจะเริ่มใช้งานตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 เป็นต้นไป