“ดาวโจนส์” ปิดบวก 432 จุด หวัง “เฟด” ลดดอกเบี้ย

“ดาวโจนส์” พุ่งกว่า 400 จุด ขานรับความคืบหน้าข้อตกลงการค้า-เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ขณะที่ Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ รับแรงหนุนหุ้น AI และกลุ่มบริโภค


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 โดยได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,819.27 จุด เพิ่มขึ้น 432.43 จุด หรือ +1.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,173.07 จุด เพิ่มขึ้น 32.05 จุด หรือ +0.52% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,273.46 จุด เพิ่มขึ้น 105.55 จุด หรือ +0.52%

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นลดช่วงบวกลงเล็กน้อย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยุติการเจรจาการค้ากับแคนาดา เพื่อตอบโต้การจัดเก็บภาษีดิจิทัลต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยยังไม่มีผลต่อภาพรวมเชิงบวกในตลาด ซึ่งดัชนี Nasdaq ได้เข้าสู่ภาวะตลาดกระทิง และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ในวันเดียวกันสนับสนุนความคาดหวังที่ว่าเฟดอาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน โดยรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า รายได้และการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมหดตัวอย่างไม่คาดคิด แม้ราคาสินค้านำเข้ายังไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีใหม่ แต่เงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของเฟด

ขณะเดียวกัน รายงานจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าระดับหลังการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ความเป็นไปได้ถึง 76% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และเพียง 19% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วสุดในเดือนกรกฎาคม

ด้านความคืบหน้าทางการค้า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่ามีความคืบหน้าในการเจรจากับจีนเกี่ยวกับการส่งออกแร่หายากก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ คาดว่าข้อตกลงการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก 18 ประเทศอาจสรุปได้ภายในวันแรงงาน (1 กันยายน)

ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมทั้ง 11 กลุ่มของ S&P500 กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้นโดดเด่นที่สุด ส่วนกลุ่มพลังงานปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย

โดยปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทไมครอน เทคโนโลยี ช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะในหมวดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลให้หุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้น 1.8% ใกล้แตะมูลค่าตลาด 4 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากขึ้นแท่นเป็นบริษัทมูลค่าสูงสุดของโลก

ขณะเดียวกัน หุ้นไนกี้ (Nike) พุ่งขึ้นแรง 15.2% หลังคาดการณ์ว่ารายได้ไตรมาสแรกจะลดลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ส่งสัญญาณฟื้นตัวของการบริโภคในภาคค้าปลีก

Back to top button