
“กิติพงศ์” ย้ำครบรอบ 50 ปี SET ไม่หยุดนิ่ง ปรับตัวทันโลก-ทำงานเชิงรุกร่วม ก.ล.ต.
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ เดินหน้ายกระดับ SET ก้าวทันโลก ผสานงานร่วมสำนักงาน ก.ล.ต เพื่อปกป้องผู้ประโยชน์นักลงทุน
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าผ่านงานสัมมนา “Legacy & Future: 50 Years of Thai Capital Market” เนื่องในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 50 ปี ว่าเป้าหมายของ ตลท. คือ การทำให้ตลาดทุนไทยแข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนได้รับประโยชน์ ทั้งในระดับสังคมและประเทศชาติ
โดยในโอกาสครบรอบ 50 ปีนี้ ตลท. ได้ย้อนมองทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตลาดทุนไทย ซึ่งที่ผ่านมาตลาดทุนของเผชิญกับวิกฤต ความท้าทาย จึงต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งมีมาตรการใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในตลาดทุน ทั้งในมุมมองของนักลงทุน บริษัทจดทะเบียน และโบรกเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในหรือต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ตลาดทุนไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้ด้วยตัวเองอย่างเดียว จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ที่เป็นผู้กำกับดูแล เราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและจะยิ่งเพิ่มความร่วมมือมากขึ้น เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายและพัฒนาตลาดให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าว
สำหรับนักลงทุน ผมขอแนะนำให้ใช้ดุลพินิจและอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องจาก ตลท. เป็นหลัก ไม่ควรเชื่อข่าวลือหรือข้อมูลปลอม เพราะในยุคนี้ มีข้อมูลปลอมมากมายที่อาจทำให้นักลงทุนสับสน ตลท. จะพยายามเป็นตัวกลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน
ขณะเดียวกัน ตลาดทุนได้ต้องเผชิญกับปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องปัจจัยทางการเมือง นักลงทุนจึงต้องมั่นใจในหุ้นที่ตนเองถืออยู่ และใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ อย่าลงทุนเกินความสามารถของตัวเอง เช่น อย่ากู้หนี้ยืมสินมาลงทุนในช่วงนี้ เว้นแต่มีเงินทุนที่พร้อมจะรับความเสี่ยงได้ การลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนดีทั้งในและต่างประเทศก็เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา
“ในช่วงวิกฤตนักลงทุนที่มีความรู้และเตรียมพร้อมจะมีโอกาสมากกว่า และวันนี้การเข้าถึงความรู้ในตลาดทุนก็ทำได้ง่ายขึ้น ตลาดทุนเองจะเป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่อง” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าว
สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองที่อาจยังมีความไม่แน่นอนและม็อบต่างๆ ผมเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติมากกว่านักลงทุนไทยที่คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ควรหลีกเลี่ยงเหตุการณ์รุนแรงหรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่