“ทักษิณ” ยกเคส STARK จี้เอาผิด “บริษัทสอบบัญชี” แนะรื้อกฎหมายสร้างความรับผิดชอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (17 ก.ค. 68) ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” (Unlocking Thailand’s Future) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” พลิกเกมเศรษฐกิจไทย…สู่อนาคต เน้นย้ำถึงสถานการณ์ตลาดทุนไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยระบุว่าจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วนเพื่อสร้างความหวังและเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา

ดร.ทักษิณ ชี้ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 1,600 จุด เหลือเพียง 1,200 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทำ “short selling” และการที่เงินทุนจากต่างชาติที่ขายหุ้นออกไปแล้วไม่กลับเข้ามาลงทุนอีก

“เงินมันไปที่ทำเงิน ถ้ามันไม่ มีทำเงิน มันก็ไปหาที่ทำเงินที่ใหม่ อันนี้คือลัทธิทุนนิยม” ดร.ทักษิณกล่าว.

อดีตนายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ปัญหาหลักของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันคือการขาด “Trust and Confidence” (ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจ) ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเร่งฟื้นฟูเป็นอันดับแรกเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตนได้นำเสนอแนวทางและข้อสังเกตหลายประการได้แก่  การแก้ไขกฎระเบียบเก่าและสร้างความรับผิดชอบ ยกตัวอย่างกรณีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่มีการตกแต่งบัญชีการเงิน แต่ปรากฏว่า บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีกลับไม่ถูกดำเนินการตามกฎหมายเท่าที่ควร โดยมีเพียงชื่อผู้รับรองเท่านั้นที่โดนลงโทษ โดยได้เสนอว่าบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีควรต้องรับผิดชอบด้วย และควรโดนพักใบอนุญาต เพราะการที่ลูกค้าเลือกใช้บริการของบริษัทนั้นเป็นเพราะเชื่อมั่นในบริษัท ไม่ใช่แค่เชื่อในตัวผู้สอบบัญชีรายบุคคล

ขณะเดียวกัน ดร.ทักษิณ ยังเห็นว่า ต้องมีมาตรการควบคุมหุ้นที่ผันผวนสูง โดยบริษัทบางแห่งที่มีน้ำหนักในตลาดสูงแต่มีปริมาณการซื้อขายที่น้อย (free float ต่ำ) ทำให้ราคาหุ้นผันผวนอย่างรุนแรง และมีการปั่นราคาจากต่างประเทศ เช่นกรณีของหุ้น DELTA โดยเสนอแนะว่าหุ้นที่มีการแกว่งตัวสูงมากเช่นนี้ควรหามาตรการในการแก้ไข ซึ่งที่ผ่านมา ตลท.ได้ดำเนินการไปบางแล้วในการปรับลดน้ำหนักการลงทุน

นอกจากนี้ ดร.ทักษิณ ยังเห็นว่า การส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนใช้วิธีการเรียกความเชื่อมั่น ด้วยการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) เพราะหากเจ้าของบริษัทมีความมั่นใจในบริษัทของตนเองว่าหุ้นมีราคาถูกและมีศักยภาพในการเติบโต ควรมีการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งเริ่มดำเนินการแล้ว เพื่อแสดงความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจในมาตรการทางภาษีไปแล้วด้วย