
SCB EIC มองส่งออก “ยางพารา” ปี 68 หด 3.8% รับเศรษฐกิจชะลอ–ซัพพลายโลกฟื้น
SCB EIC คาดรายได้ส่งออกยางพาราปี 68 ลด 3.8% เหลือ 4.8 พันล้านดอลลาร์ ผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอ ซัพพลายฟื้นกดดันราคาลง แม้ยอดส่งออก 5 เดือนแรกโต 22% คาดผู้เล่นรายใหญ่ได้เปรียบจากต้นทุนต่ำ โอกาสขยายตลาดผ่านกฎ EUDR ของอียู
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่ารายได้อุตสาหกรรมยางพาราปี 2568 มีแนวโน้มหดตัว โดยมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง และปริมาณผลผลิตยางพาราโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว กดดันให้ราคายางพาราปรับตัวลดลง
แม้มูลค่าการส่งออกยางพาราของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคาส่งออกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกยางพาราโดยรวมในปี 2568 จะหดตัว 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปี ราคาส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจาก
1.) ภาวะขาดดุลในตลาดยางพาราโลกมีแนวโน้มคลี่คลาย จากความต้องการใช้ยางพาราโลกที่จะเติบโตชะลอลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากผลของมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์
2.) ปริมาณผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดี จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลายและโรคระบาดในพืชที่ลดลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2568 จะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ราคายางพาราปรับตัวลดลงตามไปด้วย ซึ่งจากข้อมูลเร็วของการยางแห่งประเทศไทย พบว่าในเดือน มิ.ย. (ข้อมูลถึงวันที่ 23 มิ.ย.) ราคาส่งออกยางแท่งลดลง 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวลงครั้งแรกในปีนี้
ในขณะที่ราคาส่งออกน้ำยางข้นและยางแผ่นรมควันปรับตัวลดลง 23.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดย SCB EIC คาดว่าราคาส่งออกยางพาราเฉลี่ยในปี 2568 จะอยู่ที่ 1,737 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ปรับตัวลดลง 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปริมาณการส่งออกยางพาราในปี 2568 คาดว่าจะลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ซึ่งปริมาณการส่งออกที่ลดลง จะมีส่วนกดดันให้กำไรโดยรวมของอุตสาหกรรมยางพาราในปี 2568 ลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก สภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว การแพร่ระบาดของโรคใบร่วงยางพาราชนิดใหม่และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่จะกระทบต่อราคาและปริมาณการส่งออกยางพารา
อนึ่ง อุตสาหกรรมยางพาราไทยมีผู้เล่นสี่รายครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ โดยผู้เล่นจะแข่งขันกันในด้านการกระจายแหล่งรายได้/ตลาด/วัตถุดิบ การบริหารความเสี่ยงด้านราคาและการมุ่งสู่ความยั่งยืน อุตสาหกรรมยางพาราเป็นอุตสาหกรรมที่มีการประหยัดต่อขนาด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของผู้เล่นรายใหญ่อยู่ในระดับต่ำ กดดันให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีต้นทุนสูงกว่า แข่งขันไม่ได้และต้องออกจากตลาดในที่สุด และทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ในปี 2566 ส่วนแบ่งตลาดส่งออกยางพาราราว 70% กระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 4 ราย โดยกลุ่มบริษัทที่จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะต้องสามารถจัดการความเสี่ยงด้านตลาด แหล่งวัตถุดิบและราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล เช่น
การดำเนินการตามกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยคว้าส่วนแบ่งตลาดยางพาราตลาดโลกเพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำในด้านปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้การนำเข้ายางพาราจากไทยจะมีต้นทุนการดำเนินการตาม EUDR ที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากประเทศคู่แข่งอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซียและโกตดิวัวร์ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงปกติ