“ฟันด์โฟลว์” เข้าไทยต่อเนื่อง จับตา MSCI–FTSE จ่อเพิ่มน้ำหนัก ส.ค. นี้

บล.เอเซีย พลัส และ บล.กรุงศรี มองฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังไหลเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง จาก IMF ปรับจีดีพีโลกและไทยขึ้น รับแรงหนุนดัชนีหุ้นไทยพุ่งกว่า 100 จุด ขณะที่ MSCI-FTSE มีแนวโน้มปรับเพิ่มน้ำหนักในเดือน ส.ค.นี้ คาดหนุนแรงซื้อหุ้นใหญ่และหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งต่อเนื่อง


 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า เห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นไทยต่อจาก 3 ส่วน คือ (1.) เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียและไทย เพิ่มเติมจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF มีการปรับเป้าหมายจีดีพีโลกขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเซีย รวมถึงไทยที่ถูกปรับจีดีพีขึ้นจาก 1.8% เป็น 2% อีกทั้งค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้อ่อนค่า 0.14% จากสัปดาห์ก่อนหน้าน้อยกว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า 1.3% ในช่วงนี้แสดงว่าฟันด์โฟลว์ยังวนเวียนอยู่ในไทยไม่ได้ไปไหน หรืออาจจะไหลเข้าเพิ่มด้วย

(2.) โมเมนตัมเม็ดเงินในช่วงนี้เอนเอียงไปที่หุ้นคุณค่า โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน สะท้อนได้จากในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวได้ดีกว่าตลาด คือ กลุ่มพลังงาน ปรับขึ้น 6%, กลุ่มโรงพยาบาล ปรับขึ้น 2.2%, กลุ่มอุตสาหกรรม ปรับขึ้น 1.9% ถือเป็นเซนติเมนต์ที่ดีต่อหุ้นไทยที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นคุณค่า และมีสัดส่วนหุ้นอิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถึง 1 ใน 3 ของตลาด

(3.) ฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อในเดือน ส.ค. คือ หุ้นไทยมีโอกาสถูกปรับเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI (ประกาศ 12 ส.ค.) และ FTSE (ประกาศ 22 ส.ค.) หลังจากหุ้นไทยในเดือนที่ผ่านมาปรับขึ้น 13.3% ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก (MSCI ACWI) ปรับขึ้น 1.9% เท่านั้น

สำหรับ 10 หุ้นที่แนะนำ และเป็นหุ้นที่ต่างชาติซื้อเยอะสุดในรอบ 15 วัน ซึ่งต่างชาติซื้อสะสม 1.9 หมื่นล้านบาท คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ต่างชาติซื้อสุทธิ 6.01 พันล้านบาท, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.69 พันล้านบาท, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ต่างชาติซื้อสุทธิ 2.20 พันล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ต่างชาติซื้อสุทธิ 2.05 พันล้านบาท

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.86 พันล้านบาท, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.55 พันล้านบาท, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.05 พันล้านบาท, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ต่างชาติซื้อสุทธิ 897 ล้านบาท, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ต่างชาติซื้อสุทธิ 866 ล้านบาท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ต่างชาติซื้อสุทธิ 826 ล้านบาท

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS กล่าวว่า เริ่มเห็นแรงเก็งกำไรหุ้นนิคม WHA AMATA หลังการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทยน่าจะใกล้มีข้อสรุป หลังจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว. คลังเผย จะตอบกลับข้อเสนอของสหรัฐฯ ครั้งสุดท้ายเมื่อวานนี้

“คาดใกล้ถึงคิวของไทยหลังจากสหรัฐฯ ทยอยตกลงกับหลายประเทศหลัก ๆ ที่เกินดุลสหรัฐฯ ได้แล้ว อาทิ จีน เวียดนาม (ได้เฉพาะข้อเสนอ) ยุโรป ญี่ปุ่น โดยหากอิงท่าทีของทรัมป์ล่าสุดที่มองระดับภาษีกรณีฐาน (Baseline) ราว 15-20% และทรัมป์ข้อมูลผ่าน X ว่าจะพิจารณาภาษีที่ดีให้กับไทย หลังหยุดยิงกับกัมพูชา”

ทั้งนี้แนะนำซื้อ AMATA ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 19 บาท และ WHA ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 4.2 บาท

ด้าน นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ KSS เผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นกว่า 100 จุดในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่ไหลเข้าสุทธิกว่า 10,000 ล้านบาทต่อเนื่อง หลังความชัดเจนของภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลาย โดยมีแนวโน้มอยู่ในช่วง 15-20% ถือเป็นระดับที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง แต่ครึ่งเดือนหลังได้เปลี่ยนทิศทางเข้าซื้อสุทธิเฉลี่ยวันละ 800-1,200 ล้านบาท ทำให้ดัชนีสามารถพื้นตัวแรงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยสาเหตุหลักมาจากนักลงทุนคลายกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่เคยประกาศอัตราพื้นฐาน 10% แต่ล่าสุดชัดเจนว่าอัตรารวมจะอยู่ระหว่าง 15-20% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ซ้ำซ้อนกับอัตราเดิมและเป็นปัจจัยบวกต่อขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

สำหรับแนวโน้มดัชนีปี 2568 มีโอกาสแตะระดับเป้าหมาย 1,300-1,350 จุด โดยมองว่าตลาดได้สะท้อนปัจจัยบวกจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ไปแล้วบางส่วน แต่ยังคงมีอัพไซด์จากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้นักลงทุนเน้นหุ้นที่ยังไม่ปรับขึ้นแรงตามดัชนี โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งและอยู่ในกลุ่ม Laggard ได้แก่ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้น CPALL และ PTT ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังมีอัพไซด์เหลือ

ด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทีมไทยแลนด์ได้ติดต่อเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ จนขณะนี้ล่าสุด 29 ก.ค. 2568 ไทยได้ตอบข้อเสนอเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ แล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนแก้ไขบางส่วนซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และจะมีการส่งข้อเสนอเพิ่มเติมอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“ทีมงานเร่งทำงานแข่งกับเวลาตลอดคืนเพื่อให้ทันตามกำหนด โดยคาดว่าจะส่งข้อเสนอการสรุปขั้นตอนสุดท้าย Final จริง ๆ ในค่ำวานนี้ (30 ก.ค. 2568) ส่วนกรณีความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา แม้ยังปะทะกันอยู่บ้าง ไม่น่าจะเป็นอุปสรรค เพราะไม่มีคำสั่งให้หยุดการเจรจา ปัจจุบันสถานการณ์ก็คลี่คลายลงบ้างแล้ว”

ฟาก นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว อาทิ การผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกครึ่งปีหลังของปี 2568 อาจชะลอตัวลง แม้ครึ่งปีแรกปีนี้การส่งออกขยายตัวดี

อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นโดยสะท้อนได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บดีติดต่อกัน 9 ไตรมาส ทั้งนี้ ได้นำสมมติฐานเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองภาษีสหรัฐฯ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนอุทกภัยน้ำท่วมล่าสุดขณะนี้ นำไปคำนวณเพื่อประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2568 แล้ว (เมื่อ เม.ย. 2568 ประมาณการ GDP ไว้ที่ 2.1%) ซึ่งมีทิศทางการประเมินใกล้เคียงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 2568 จาก 1.8% เป็น 2% และ IMF ยังคาดการณ์เศรษฐกิจระดับโลกไว้ว่าปีนี้ จะขยายตัวที่ 3%

อย่างไรก็ดี เรื่องการเจรจาอัตราภาษีกับสหรัฐฯ สศค.ประเมินว่า ไทยจะได้รับอัตราภาษีในช่วง 15-36% โดยคาดว่าจะอยู่ในทิศทางเดียวกับประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับการผ่อนปรน

Back to top button