
“กองทัพบก” ยืนยันไทยคุมพื้นที่ “ปราสาทตาควาย” เพิ่มขึ้น
โฆษกกองทัพบก ระบุ “ปราสาทตาควาย” ยังมีข้อจำกัด แม้ไทยคุมพื้นที่โดยรอบได้เพิ่มขึ้นตามแผน ย้ำไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด พร้อมเผยพบกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดซ้ำ เป็นหลักฐานสำคัญบนเวทีโลก เตรียมนำคณะทูต–นักข่าวต่างชาติ ลงพื้นที่พรุ่งนี้ (1 ส.ค.) แสดงข้อเท็จจริงไทยไม่บิดเบือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 ก.ค.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีปราสาทตาควายว่า ในพื้นที่ที่มีปฏิบัติการทางทหารทั้งหมด มีเพียงปราสาทตาควายแห่งเดียวที่มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ หากพูดถึงการควบคุมพื้นที่โดยรวม ถือว่าไทยสามารถควบคุมได้ทั้งหมดตามแผนและเป้าหมายในทางทหารที่วางไว้ แต่กรณีของปราสาทตาควายยังมีข้อจำกัดและเป็นความพยายามสุดท้ายของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา
“ปัจจุบันเรายอมรับว่าถ้าพูดถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ เราอาจจะยังไม่สามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่เราสามารถได้พื้นที่ควบคุมเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนที่จะมีการปะทะ… เราควบคุมได้โดยการใช้อาวุธยิง” โฆษกกองทัพบก กล่าว
พล.ต.วินธัย อธิบายว่า ปัจจุบันตัวปราสาทตาควายจะอยู่บริเวณตรงกลาง และพื้นที่ที่จะเป็นภูมิประเทศสำคัญทางทหารไม่ใช่ตัวปราสาท เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำ เดิมหากวางกำลังที่ปราสาทตาควาย อาจไม่ปลอดภัยในการใช้อาวุธยิงสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้าม ทำให้ฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับการกุมพื้นที่ “บริเวณ” สำหรับในห้วงสุดท้ายที่มีการใช้กำลัง (ก่อนเวลาตามข้อตกลงหยุดยิง) นั้น เราพยายามจะกระทำต่อเป้าหมายจุดสูงข่มในทางทหาร (พื้นที่สูงที่มีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์) คือ “เนิน 350” แต่เนื่องจากเวลานั้นมีไม่เพียงพอ จึงควบคุมพื้นที่โดยส่วนรวมด้วยอาวุธ
เนิน 350 นั้นเป็นที่วางกำลังของกัมพูชา ซึ่งจากเนินดังกล่าวใช้อาวุธยิงมาที่ตัวปราสาทด้วย จึงทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถวางกำลังประจำได้ ณ ที่นั่น เพราะจะกลายเป็นเป้าหมายทางทหารที่นิ่ง ยังถือว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างอ่อนแอไม่เหมือน เนิน 350 ภูมิประเทศแตกต่างจากที่อื่น
อีกทั้งในทางข่าวสารพบว่า หากเราเคลื่อนที่ไปโดยผลีผลามในปราสาทตาควาย จะถูกยิงด้วยอาวุธ BM 21 ซึ่งพร้อมจู่โจมเรา แต่ห้วงเวลาสุดท้ายมีความพยายามทั้งเนิน 350 และปราสาทตาควาย ไปพร้อม ๆ กัน พยายามเข้าสู่ 2 ที่หมาย แต่เนื่องจากการดำเนินการในห้วงเย็น ไม่คาดคิดว่าจะเจอสนามทุ่นระเบิดบริเวณรอบปราสาทตาควาย ทำให้ร้อยตรีเกียรติวงศ์ สถาวร หรือ หมวดบุ๊ค บาดเจ็บสาหัส ซึ่งเราก็ยอมรับว่าการบาดเจ็บจากสนามทุ่นระเบิดนั้น มีผลรั้งหน่วงต่อการที่จะรุกคืบในขั้นสุดท้ายของเรา
“เมื่อเวลาหมด เราก็สามารถคุมพื้นที่ได้มากกว่าเดิม เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่ได้มีกำลังประจำอยู่ที่ปราสาทตาควาย” โฆษกกองทัพบก กล่าว
พล.ต.วินธัย ย้ำว่า พื้นที่ปราสาทตาควายเราได้พื้นที่เพิ่มเติม และพื้นที่ที่ได้ ถือว่าควบคุมตัวปราสาทได้ เพียงแต่ถ้าเห็นว่ามีฝ่ายทหารกัมพูชาอยู่ที่บริเวณตัวปราสาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหยุดยิง เพราะฉะนั้นเราต้องหยุดปฏิบัติการทางทหารไว้เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าใครได้เดินอยู่ภายในตัวปราสาทตาควายในปัจจุบันนั้น จะเป็นผู้แพ้ชนะในการต่อสู้บริเวณพื้นที่ปราสาทตาควาย
โฆษกกองทัพบก ยอมรับว่าขณะนี้บริเวณรอบปราสาทตาควายมีกำลังของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาอยู่ ซึ่งเป็นพื้นที่เดียว ทั้งสองฝ่ายยังให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้ “มันอยู่ที่มุมมองว่าจะพูดถึงตัวพื้นที่ปราสาทอย่างไร ทหารไม่ได้มองเฉพาะตัวปราสาท เรามองว่าตัวปราสาทอาจจะเป็นเป้าหมายด้วยซ้ำไป เราอาจจะมองว่าพื้นที่การควบคุมทางทหารแบบอื่นอาจจะมีความสำคัญมากกว่า”
กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิด เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวานั้น พล.ต.วินธัย กล่าวว่า เราแน่ใจตั้งแต่มีการใช้ที่ช่องบกแล้ว และจุดนี้เป็นเชิงประจักษ์ เพราะมีผู้ประสบเหตุจริง อีกทั้งเห็นพวงทุ่นระเบิดแบบ PMN 2 ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า มีการใช้เป็นจำนวนเยอะมาก
โฆษกกองทัพบก กล่าวด้วยว่า ในการต่อสู้ทางทหารอาจคลี่คลายลงบ้าง แต่การต่อสู้ในเวทีต่างประเทศต้องดำเนินการต่อ โดยรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมยืนยันหลักฐานและข้อพิสูจน์ต่าง ๆ ถูกเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด
นอกจากนี้ พล.ต.วินธัย เปิดเผยว่า กองทัพบกร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมนำคณะผู้ช่วยทูตทหาร เอกอัครราชทูต และสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.68) เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่ มั่นใจว่าจะช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่บิดเบือนเหมือนที่ฝ่ายกัมพูชานำเสนอโดยพื้นที่ที่จะลงตรวจสอบ เป็นเป้าหมายพลเรือนที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์ความขัดแย้ง เช่น โรงพยาบาลประมาณ 20 แห่ง โรงเรียน และร้านสะดวกซื้อ