
TU แจงชัด “มิตซูบิชิ” เข้าถือหุ้น 20% เป็นพันธมิตรกลยุทธ์ ไม่ใช่เทกโอเวอร์ เน้นโตยั่งยืน
TU ชี้แจงชัด! “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 20% ในฐานะพันธมิตรยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เทกโอเวอร์ พร้อมหนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในอนาคตสดใส
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เผยถึงกรณีที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้เข้ามาซื้อหุ้น TU เพิ่มอีก จำนวน 532,273,639 หุ้น หรือคิดเป็น 13.81% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ในราคาหุ้นละ 12.50 บาท หากดีลสำเร็จ จะส่งผลให้มิตซูบิชิฯ ถือหุ้นใน TU รวม 20% จากเดิม 6.19% ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568
การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (strategic partnership) เพื่อทำธุรกิจร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้ถือหุ้นในไทยยูเนี่ยนมาตั้งแต่ปี 1991 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิได้แสดงเจตจำนงค์ในการยกระดับความร่วมมือจากการเป็นผู้ถือหุ้นที่รับเงินปันผล ไปสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถรับรู้รายได้และกำไรของบริษัทได้โดยตรง เนื่องจากเห็นว่าเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารทะเลให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้มิตซูบิชิเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในไทยยูเนี่ยนจาก 6.2% เป็น 20% อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดยมิตซูบิชิยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่และมีตัวแทนในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม รวมทั้งไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
ทั้งนี้ มิตซูบิชิอยู่ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการที่เกี่ยวข้อง มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม รวมทั้งมีเครือข่ายการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผ่านบริษัทต่าง ๆ เช่น Toyo Reizo, Cermaq, Nosan และ Petline
โดยราคาหุ้นที่มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เสนอในครั้งนี้อยู่ที่ 12.50 บาทต่อหุ้น ทางด้านไทยยูเนี่ยนขอยืนยันว่า บริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดเหมือนเดิม และนี่เป็นธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยนสร้างมากว่า 50 ปี โดยผลการดำเนินงานยังคงดีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีความชัดเจนทางภาษีและขีดความสามารถทางการแข่งขันที่เหนือกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความมั่นใจในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมกันนี้ยังช่วยเสริมสร้างฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับการประสานความร่วมมือดังกล่าว สอดคล้องกับกลยุทธ์ Strategy 2030 ของไทยยูเนี่ยน โดยการขยายความร่วมมือกับมิตซูบิชิในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ประการแรก คือ การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยการผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
ประการที่สอง คือ การสร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมถึงการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
และประการที่สาม คือ การร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผ่านการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกันทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อผู้คนและโลก