
“สุเชษฐ์” ชี้ SET ลุ้นรีบาวด์! แนะเก็บ 4 หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง
“นายสุเชษฐ์ สุขแท้” มอง SET มีโอกาสรีบาวด์ หลังไม่หลุดแนวรับ 1,230 จุด พร้อมแนะนำทยอยเก็บหุ้นเด่น HMPRO, NCAP, CPALL และ BAM พื้นฐานแข็งแกร่ง และแนวโน้มกำไรเติบโต พร้อมจับตาปัจจัยการเมืองช่วง ส.ค.–ก.ย. ที่อาจชี้ทิศทางตลาดหุ้นไทย
นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายมีเดียมาร์เก็ตติ้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด (ASL) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 19 สิงหาคม 2568 ว่า จากทิศทางตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 โดยบรรยากาศการลงทุนในต่างประเทศไม่พบปัจจัยกดดันสำคัญ ทั้งตลาดยุโรป ดาวโจนส์ และเอเชีย เคลื่อนไหวทรงตัว อย่างไรก็ตาม แรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นแรงขายจากสถาบันในประเทศ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงปิดที่ระดับ 1,230 จุด ต่ำกว่าระดับแนวรับ 1,245- 1,240 จุดที่ต้องจับตาไว้
โดย นายสุเชษฐ์ ประเมินว่า หากดัชนีลงมาหลุดแนวรับ 1,230 จุด มีโอกาสถอยลงไปทดสอบระดับ 1,200 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนควรทยอยลดพอร์ต และเลือกลงทุนรายตัว โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเด่นและแนวโน้มกำไรเติบโต
หุ้นเด่นแนะนำ ได้แก่ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO จุดรับที่ระดับ 6.50 บาท ต้านที่ระดับ 7.00 – 7.50 บาท, บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP ผลประกอบการดี แนวรับที่ระดับ 3.00 บาท ต้านที่ระดับ 3.30 – 3.50 บาท, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL แม้ถูกขายแรง แต่หากย่อต่ำกว่า 45 บาทถือว่าน่าสนใจ มีแนวรับที่ระดับ 43 – 44 บาท และต้านที่ระดับ 48.50 – 50 บาท, รวมถึง บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ที่คาดว่ายังมีอัพไซด์จากกำไรและ EPS ที่แข็งแกร่ง สามารถปรับตัวขึ้นได้ถึงระดับ 10 บาท
ขณะเดียวกันยังต้องจับตาความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะกรณีสำคัญในวันที่ 29 สิงหาคม และวันที่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญทางการเมืองอย่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากสถานการณ์ออกมาเป็นบวก อาจช่วยคลายความกังวลและดึงแรงซื้อกลับจากสถาบันในประเทศ แต่หากผลลบมีโอกาสกดดันดัชนีหลุดแนวรับ 1,200 จุด
โดยในเชิงอุตสาหกรรม หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลยังคงโดดเด่นจากผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ขณะที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเผชิญแรงกดดันจากผลประกอบการไม่สดใส และราคาน้ำมันที่เริ่มอ่อนตัว ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังต้องรอปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ
อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองเป็นหลัก แม้ปัจจัยภายนอกและผลประกอบการโดยรวมไม่เลวร้าย แต่แรงขายจากสถาบันภายในประเทศทำให้ดัชนีเปราะบาง นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด และเลือกลงทุนเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเติบโตสูง ขณะที่หุ้นรีบาวด์และหุ้นใหญ่บางตัวอาจเป็นตัวช่วยประคองตลาดในระยะสั้น