BTS-BEM ร่วง! เซ่นข่าวรถไฟฟ้า 20 บาท ส่อวืด! “คมนาคม” รับไร้แผนสำรอง

BTS-BEM ร่วง! เซ่นข่าวรถไฟฟ้า 20 บาท ส่อวืด! “คมนาคม” รับไร้แผนสำรอง หากแก้กฎหมายไม่ทัน 1 ต.ค. 68 รัฐบาลส่อเลื่อนเปิดให้บริการไม่ทัน 1 ต.ค.นี้ หลังกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับค้างเติ่งคาสภาฯ หมดสิทธิ์ดึงเงินรฟม. 8,000 ล้านบาท มาชดเชยให้เอกชน เสี่ยงผิดกฎหมายและวินัยการคลัง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ณ เวลา 10:04 น. อยู่ที่ระดับ 3.36 บาท ลบ 0.10 บาท หรือ 2.89% สูงสุดที่ระดับ 3.42 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 3.32 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 215.65 ล้านบาท

บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ราคาหุ้น ณ เวลา 10:06 น. อยู่ที่ระดับ 5.35 บาท ลบ 0.05 บาท หรือ 0.93% สูงสุดที่ระดับ 5.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12.26 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้น BTS และ BEM ปรับตัวลง หลังจากวานนี้ (26 ส.ค. 2568) รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เพื่อใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พบว่า ตั้งแต่เวลา 00.01 น.-16.00 น. มีผู้ลงทะเบียนสำเร็จทั้งสิ้น 135,730 คน อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาก่อนจะเปิดใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 1 ต.ค.นี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงเรื่องของการเจรจากับภาคเอกชนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอาจไม่ทันเวลาการเปิดใช้ที่กำหนดไว้

ล่าสุดนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การเริ่มใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่รัฐบาลกำหนดเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นั้น ขณะนี้ยังต้องรอการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำเนินการ คือ 1) การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ.….เพื่อการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม 2) ร่าง พ.ร.บ. กรมการขนส่งทางราง พ.ศ…..เพื่อบริหารจัดการระบบขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้า 3) การแก้ไข พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อการกำหนดเกี่ยวกับเงินกองทุนที่ใช้ชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารให้กับเอกชน (จากเดิม รฟม.ต้องนำส่งรายได้ให้กระทรวงการคลัง จะเปลี่ยนมานำส่งรายได้เข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมแทน)

โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้หารือกับผู้ประกอบการรถไฟฟ้าแต่ละสาย ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน เพื่อหาทางดำเนินการให้เร็วที่สุด กรณีกฎหมายทั้ง 3 ฉบับเสร็จไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคมนี้  และยอมรับว่าการใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายก็คงต้องเลื่อน หรือ ขยับการใช้ออกไปก่อน

“ตอนนี้ยังไม่มีแผนสำรองเพราะว่าต้องมีกฎหมายมารองรับจึงจะใช้มาตรการ 20 บาทตลอดสายได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเอกชน” นางมนพร กล่าว

ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงที่ใช้ 20 บาทตลอดสายอยู่ปัจจุบัน หากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ จะทำให้รถไฟฟ้าสีแดงและสีม่วง ต้องกลับไปเก็บค่าโดยสารตามปกติไปก่อน ต้องรอกฎหมายและนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ทุกสายไปพร้อมกัน จะไม่มีสายใด สายหนึ่ง สามารถใช้อัตรา 20 บาทตลอดสายได้

รายงานระบุว่าการแก้ไข พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ พ.ศ. 2543 มาตรา 65 เขียนไว้กว้าง ๆ ดังนั้นการแก้ไขเพิ่มเติม จึงเป็นการเปิดทางให้นำเงินรายได้สะสม ของ รฟม.มาใช้ได้ในนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้  เพราะ ใน พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ พ.ศ. 2543 ไม่มีการระบุเรื่องการนำเงินสะสมของ รฟม.มาอุดหนุนเรื่องดังกล่าว ดังนั้นการจะนำมาใช้ทันที จึงเสี่ยงผิดระเบียบและกฎหมาย รวมถึง วินัยการเงินการคลัง โดยปัจจุบัน รฟม.มีเงินรายได้สะสมประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ล่าสุด พ.ร.บ.กรมการขนส่งทางรางฯ ได้ผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และได้เสนอไปที่ประชุมวุฒิสภา ส่วน พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ จะมีการพิจารณาในที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) วันที่ 3 กันยายน 2568 ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ประชุม สส.พิจารณาไปแล้ว 35 มาตรา จากทั้งหมด 56 มาตรา และการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนฯ มี 10 มาตรา จะมีการพิจารณาในที่ประชุม สส.วันที่ 3 กันยายน 2568 คาดว่าจะเสร็จ จากนั้นจะส่งต่อวุฒิสภา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน กฎหมายจะเสนอทูลเกล้าฯ และประกาศใช้ต่อไป

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่อาจล่าช้าบ้างเพราะบางส่วนไม่สามารถกำกับควบคุมได้ เช่น การพิจารณาของวุฒิสภา (สว.) ที่มีกรอบการพิจารณาของ สว. ส่วนในกรอบของ สส. ทางรัฐบาลได้ผลักดันอย่างเต็มที่ แต่ก็มีกลไกในเรื่องการตรวจสอบองค์ประชุมต่าง ๆ เพื่อให้เร็วที่สุด เพื่อประโยชน์กับประชาชน แต่หากกฎหมายไม่เสร็จก็ไม่สามารถดำเนินการได้

ก่อนหน้านี้ นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงคมนาคม ยอมรับว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ จะสามารถเริ่มใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้หรือไม่ เพราะนอกจากต้องรอให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านการพิจารณาตามขั้นตอน สส.และสว.แล้ว ยังมีเรื่องการเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าทุกสายทางที่เข้าร่วมมาตรการ โดยต้องมีการเจรจาเกี่ยวกับการชดเชยรายได้ที่จะหายไปหากเริ่มมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

นอกจากนี้ ยังต้องเจรจากรณีผู้โดยสารเติบโตขึ้นหลังจากมาตรการซึ่งเอกชนผู้รับสัมปทานต้องแบ่งรายได้ส่วนเกินที่เกิดขึ้นมาให้รัฐเพื่อนำเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อความเป็นธรรม เนื่องจากอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติมีปัจจัยเรื่องการเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายมาช่วยผลักดัน โดยจากสถิติปัจจุบันพบว่ามีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายทางรวมที่ 1.7 ล้านเที่ยวคนต่อวัน และประเมินว่าหากเริ่มมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20%

สำหรับการลงทะเบียน ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”  เพื่อยืนยันตัวบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก และสามารถใช้ผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่เคยลงทะเบียนไว้) ทั้งนี้ บัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติ เมื่อใช้งานหลังจากเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 โดยจะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว สีทอง สีเหลือง สีชมพู สีน้ำเงิน สีม่วง สีแดง และสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL)

ส่วนการใช้บริการรูปแบบบัตร Rabbit Card (บัตรเติมเงิน) จะใช้ได้กับสายสีเขียว สีทอง เหลือง ชมพู ขณะที่บัตร EMV Contactless (หรือบัตรเครดิต  Visa/Mastercard) สามารถใช้กับ 6 สาย คือ สายสีแดง น้ำเงิน ม่วง ชมพู เหลือง และ ARL (ไม่รวมสีทองและสีเขียว) โดยในอนาคตจะมีการเปิดระบบสแกน QR Code ในมือถือแทนการใช้บัตร

Back to top button