“ศุภชัย เจียรวนนท์” กางโรดแมปเศรษฐกิจไทย ชี้ทางรอดด้วย AI-พลังงานสะอาด-เกษตรมูลค่าสูง

“ศุภชัย เจียรวนนท์” มองไทยเดินถูกทาง ชูจุดแข็งโครงสร้างพื้นฐานแกร่ง พลังงานสะอาด และทรัพยากรบุคคลคุณภาพ หนุนศักยภาพการลงทุน Data Center–อุตสาหกรรมอนาคต และเกษตรมูลค่าสูง พร้อมเสนอ 4 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียน


นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) แสดงความเห็นในฐานะตัวแทนภาคเอกชนบนเวที Thailand Focus 2025 ภายใต้หัวข้อ “Beyond the Challenges” โดยย้ำว่า ประเทศไทยกำลังเดินมาถูกทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ และมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนและนวัตกรรมของภูมิภาคอาเซียน หากสามารถต่อยอดจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรบุคคล และพลังงานสะอาด

นายศุภชัย ยังระบุว่า CP Group ยังคงเดินหน้าลงทุนในทุกธุรกิจหลัก ทั้ง CP Axtra, CPALL, True Corporation และ CPF ทั้งในและต่างประเทศ ท่ามกลางความท้าทายระดับโลก โดยชี้ว่าจุดแข็งของไทยอยู่ที่การเป็นฐานการลงทุนด้าน Data Center จากทำเลภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม นโยบายส่งเสริมการลงทุน และการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจยุค AI

ขณะเดียวกันประเทศไทยยังคงดึงดูดการลงทุนจากจีน โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม เห็นได้จากเขตพัฒนา EEC กำลังเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรมสีเขียว พร้อมทั้งย้ำว่าไทยมีศักยภาพในการดึงดูดแรงงานและนักลงทุนต่างชาติ ด้วยนโยบายวีซ่าระยะยาว และการเปิดทางให้ต่างชาติถือครองที่ดิน 99 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ในมิติการเกษตร นายศุภชัย เห็นว่าภาคการเกษตรไทยยังพึ่งพาแรงงานกว่า 40% ของประชากร จึงจำเป็นต้องปฏิรูปเชิงโครงสร้างภายใน 3–5 ปีข้างหน้า โดยเน้นพืชมูลค่าสูงแทนพืชดั้งเดิมที่มีราคาต่ำ พร้อมยกระดับห่วงโซ่อุปทานเกษตรสู่มาตรฐานใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ข้าวหอมมะลิและผลไม้ที่ตลาดโลกต้องการสูง โดยต้องอาศัยเทคโนโลยีและระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย

ทั้งนี้ นายศุภชัยวาง 4 ยุทธศาสตร์สำคัญที่ไทยต้องเร่งดำเนินการเพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน ได้แก่

1.) การสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางคนเก่งของโลก ควบคู่กับการเร่งยกระดับทักษะแรงงานในประเทศ พร้อมกับการมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีผู้นำที่เข้มแข็ง

2.) ใช้จุดเด่นด้านภูมิรัฐศาสตร์ เสริมโครงสร้างพื้นฐาน และกฎหมายด้านโลจิสติกส์-การขนส่ง เชื่อมโยงจีน และประเทศเพื่อนบ้าน โดยรักษาความเป็นกลาง และเพิ่มมูลค่าให้ประเทศ

3.) ปฏิรูปโครงสร้างภาคการเกษตร ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากไทยยังมีประชากรที่พึ่งพาการเกษตรกว่า 40%

4.) ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว เร่งวางรากฐานรองรับการลงทุนภาคดิจิทัล และความยั่งยืน สอดรับความคาดหวังของนักลงทุนทั่วโลก

นายศุภชัย ทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และต้นทุนการแข่งขัน แต่จำเป็นต้องปรับตัวเชิงรุก เดินหน้ายุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์อนาคต เพื่อสร้างความได้เปรียบในเวทีโลก พร้อมย้ำว่าไทยมีศักยภาพก้าวสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจสีเขียวของภูมิภาค

Back to top button