
BAM เดินหน้าซื้อ “NPL” 3 พันล้าน มั่นใจสิ้นปีเก็บหนี้แตะ 1.8 หมื่นล.
BAM ครึ่งปีหลังวางงบซื้อ NPL จำนวน 3,000-4,000 ล้านบาท ขณะที่มั่นใจเป้าเรียกเก็บหนี้สิ้นปีแตะ 17,000-18,000 ล้านบาท พร้อมสร้างรายได้จากธุรกิจ NPA ราว 500 ล้านบาท หลังร่วมมือพันธมิตร และเตรียมจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ไตรมาส 4 ปีนี้รองรับการเติบโตระยะยาว
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน (Opportunity Day) จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 1,293.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 183.69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 456.12 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้จากการดำเนินงาน 3,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.90% รวมถึงควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 879.53 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2568 บริษัทได้วางกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 แกนหลัก คือ ธุรกิจ NPL มุ่งเน้นการเร่งรัดเก็บหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทนำระบบ Automation เข้ามาใช้มากขึ้น พร้อมทั้งเดินหน้า จัดชั้นหนี้ออกเป็น 3 หลัก ได้แก่ 1.) หนี้บุคคล เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Housing Loan) 2.) หนี้กลุ่ม SME และ 3.) หนี้องค์กรขนาดใหญ่ (Corporate) อาทิ โรงแรม, โรงงาน, นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีอีก 1 ธุรกิจที่พยายามพัฒนาไปพร้อม คือ Financial Advisor ซึ่งมีบทบาทในการหาทางออกให้แก่ลูกหนี้ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ให้สามารถผ่อนชำระได้ต่อเนื่องเกิน 12 งวดขึ้นไป ซึ่งจะส่งผลให้มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการ รีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินพันธมิตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บหนี้ โมเดลนี้บริษัทได้พัฒนาร่วมกับ เครดิตบูโรแห่งชาติ และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่านการใช้รหัสลูกหนี้ใหม่ (รหัส 054)
ซึ่งจะสะท้อนพฤติกรรมการชำระหนี้ (Behavioral Score) ทำให้สถาบันการเงินพันธมิตร โดยเฉพาะกลุ่ม Tier 2 และ non-bank สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการพิจารณารีไฟแนนซ์ลูกหนี้ ที่มีประวัติการชำระปกติไม่ต่ำกว่า 12 งวดได้
แกนที่สอง ธุรกิจ NPA (ทรัพย์สินรอการขาย) บริษัทได้ร่วมกับพันธมิตรหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ 1.) ทรัพย์สินขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 3 ล้านบาท) ร่วมกับพันธมิตรเพื่อให้ Developer สามารถซื้อ-ขายและส่งต่อสู่ลูกค้าปลายทางในราคาต่ำกว่าบ้านใหม่ประมาณ 5-15%
2.) ทรัพย์สินขนาดกลาง (5-15 ล้านบาท) ร่วมมือกับ Bangkok Asset ซึ่งเชี่ยวชาญการปรับปรุงและจำหน่ายทรัพย์สิน โดยเฉพาะทรัพย์ที่ถือครองเกิน 3 ปีขึ้นไป
3.) ทรัพย์สินขนาดใหญ่ (เกิน 50 ล้านบาท) ร่วมกับ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ที่มุ่งพัฒนาที่ดินเปล่าสำหรับโครงการขนาดใหญ่ในรูปแบบคอนซอร์เทียม
นอกจากนี้ BAM ยังคงเดินหน้าหารือกับผู้พัฒนา (Branded Properties) เพื่อจำหน่ายทรัพย์ NPA แบบขายส่ง (wholesale) กลับคืนสู่ผู้พัฒนาแบรนด์เดิม เนื่องจากใน สภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัว ผู้ประกอบการไม่สามารถจัดหาวงเงินสินเชื่อใหม่เพื่อซื้อที่ดินและสร้างโครงการใหม่ได้ ทำให้ทรัพย์ NPA กลายเป็น inventory สำคัญที่เติมเข้าสู่ตลาด ทั้งนี้จากที่กล่าวมาข้างต้น BAM คาดว่าความร่วมมือกับพันธมิตร 3-4 ราย จะช่วยสร้างรายได้จากธุรกิจ NPA ราว 300-500 ล้านบาทภายในปีนี้
นางสาววนัฌชา ศรีโพธิ์ทองนาค นักลงทุนสัมพันธ์ BAM กล่าวเสริมถึงครึ่งหลังปี 2568 (Investment Outlook) นั้น BAM ตั้งเป้าหมายผลเรียกเก็บหนี้ที่ 17,000-18,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ BAM มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลเรียกเก็บได้
ขณะเดียวกัน คาดการณ์ สถาบันการเงิน จะทยอยนำหนี้ออกมาขายประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 87,663 ล้านบาท ส่งผลให้ซัพพลายในตลาดช่วงครึ่งปีหลังอยู่ที่ราว 200,000 ล้านบาท ทั้งนี้ BAM มีแผนเข้าร่วมประมูลซื้อหนี้มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะชนะการประมูลได้ราว 50% ผ่านเงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดรวมการลงทุนทั้งปี 2568 อยู่ในช่วง 3,000-4,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุน บริษัทฯ ยังคงต้องพิจารณาคุณภาพหนี้และราคาที่สามารถตกลงร่วมกับสถาบันการเงินได้เป็นสำคัญ โดยภาพรวมของ Portfolio หนี้คงค้าง (Outstanding Portfolio) ที่ BAM บริหารจัดการอยู่นั้น คาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 597,000 ล้านบาท
ส่วนของรายละเอียดต้นทุนทางการเงิน (Financial Cost) ปัจจุบันอยู่ที่ 3.51% โดยมีสัดส่วนดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) 23% และดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) 77% ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.48-3.49%
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนบริหารและจัดการเชิงรุก สำหรับลูกหนี้รายใหญ่ 10 อันดับแรก ตั้งเป้าที่จะสามารถนำทรัพย์ขนาดใหญ่ออกจาก Portfolio ปีละประมาณ 5 รายการ โดยคาดว่าอัตราความสำเร็จ (Success Rate) ในการปรับโครงสร้างหรือการขายต่อ (Resell) จะอยู่ที่ราว 2-3 ชิ้นต่อปี
ขณะที่ หากถามถึงประเด็น การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเฉพาะสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการ ปัจจุบันบริษัทฯ มีทีมงานที่กำลังเร่งรัดการเจรจารัฐวิสาหกิจ 3-5 แห่ง โดยเฉพาะ กลุ่มพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำ New Legend เพื่อรองรับการดำเนินงาน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมสำหรับแนวนโยบายนำบริษัทจัดตั้งเป็น (Holding) ในช่วง 2–3 ปีข้างหน้า ถือเป็นหนึ่งในแนวทางสร้างความยั่งยืนของ BAM ซึ่งหากมองที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีบริษัทย่อยอยู่ 2 แห่ง และคาดว่าภายในไตรมาส 4 ปี 2568 หรือช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 จะมีบริษัทย่อยเพิ่มเติมอีก 1-3 แห่ง นโยบายการจัดตั้ง Holding จึงยังคงเป็น Flagship Policy ของ BAM เพื่อรองรับการเติบโตและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดย BAM จะทำหน้าที่เป็น Turn-Key Operator ครอบคลุมทั้งด้าน Collateral, SME และ Corporate NPL เป็นต้น
“เป้าหมายของปี 2569 BAM มองว่า NPL มีจำนวนมาก โดยปัจจุบันรวมกันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านบาท ในมุมของตลาด BAM เปรียบเสมือน “โรงพยาบาลใหญ่” ของประเทศ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 47% ทำให้ลูกหนี้จำนวนมากเข้ามาที่ BAM ก่อนดังนั้น ความท้าทายของปีหน้า คือ การบริหารศักยภาพทีมงาน 1,336 คน ให้สามารถจัดการลูกหนี้ได้รวดเร็วและตรงจุด โดยมุ่งเน้นทั้งการรีไฟแนนซ์ลูกหนี้ (NPL) และการระบายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ” ดร.รักษ์ กล่าวทิ้งท้าย