BAM ปักธงผลงานปีนี้เข้าเป้า จ่อปิดดีล 1.5 พันลบ. เดินหน้าซื้อหนี้-ตั้ง JV รับตลาด AMC

BAM มั่นใจไตรมาส 4 ปิดดีลใหญ่กว่า 1.5 พันล้านบาท หนุนผลงานเข้าเป้า พร้อมคาดปี 2569 เป็นจังหวะเติบโตสำคัญของอุตสาหกรรม AMC หลัง NPL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใกล้ 4 ล้านล้านบาท โดยบริษัทเตรียมเดินหน้าซื้อหนี้และขยาย JV รองรับดีมานด์ตลาดที่ขยายตัว


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 183.75 ล้านบาท ลดลง 7.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 199.33 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,694.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,078.86 ล้านบาท

ทั้งนี้ในไตรมาส 3 บริษัทได้เดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุก เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พร้อมผลักดันทรัพย์ NPA ให้เป็น “Investment of Choice” ส่งผลให้บริษัทสามารถขายทรัพย์ได้จำนวน 679 รายการ และมียอดขายสะสมตั้งแต่ต้นปีรวม 2,113 รายการ โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยตลอด 9 เดือนอยู่ที่ 90% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า

สำหรับ เป้าหมายผลเรียกเก็บทั้งปี 2568 บริษัทตั้งไว้ที่ 17,800 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกสามารถทำได้แล้วกว่า 13,800 ล้านบาท บริษัทจึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ปัจจุบันมีดีลทรัพย์ขนาดใหญ่จำนวน 2–3 รายการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท อยู่ระหว่างเจรจา และคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในไตรมาส 4 นี้

ดร.รักษ์  กล่าวต่อว่า ในส่วนของความร่วมมือทางธุรกิจด้านการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (AMC) บริษัทได้ดำเนินงานร่วมกับสถาบันการเงิน 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ในการจัดตั้งบริษัท Ari AMC ซึ่งมีผลประกอบการในไตรมาส 3 อยู่ที่ 44 ล้านบาท และผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกอยู่ที่ 82 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอรับพอร์ตหนี้จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI) ตามมาตรการแก้ไขหนี้รายย่อยของรัฐบาล สำหรับหนี้วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท

ธนาคารกสิกรไทย ในการจัดตั้งบริษัท Arun AMC ซึ่งมีผลกำไรในไตรมาส 3 อยู่ที่ 53 ล้านบาท และผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกอยู่ที่ 73 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ทยอยรับโอนพอร์ตหนี้จากธนาคารกสิกรไทยอย่างต่อเนื่อง และมีแผนจะรับเพิ่มอีกประมาณ 8,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

ด้านภาพรวมตลาดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในช่วงไตรมาส 2–3 ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว จากการรอความชัดเจนของมาตรการแก้ไขหนี้ และความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ (JV AMC) ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขาย NPL ไม่คึกคักเทียบเท่าปี 2567 ขณะเดียวกัน ธนาคารบางแห่งยังคงเลือกขายพอร์ต NPL ด้วยตนเอง ส่งผลให้มีพอร์ต NPL เสนอขายในระบบรวมประมาณ 120,000 ล้านบาท

BAM คาดว่าเม็ดเงินลงทุนในปี 2568 จะอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ขณะที่ “จักรวาล BAM” หรือพอร์ตหนี้ภายใต้การบริหารจัดการทั้งหมด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 597,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้

ดร.รักษ์ กลาวอีกว่า อัตราการเติบโตของ BAM มีความเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยหาก GDP เติบโต 2% BAM จะสามารถเติบโตได้ประมาณ 4% ภายใต้โมเดลการทำธุรกรรมแบบสมดุล (Commensurate Transaction) ซึ่งเน้นการซื้อทรัพย์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 15–20 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงดีลที่มีความซับซ้อนมูลค่า 500–2,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทย่อยจะเติบโตตามพอร์ตและกลยุทธ์ของธนาคารคู่ร่วมทุนแต่ละแห่ง

ทั้งนี้ BAM มีแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ (JV AMC) เพิ่มอีก 2 แห่ง ส่งผลให้บริษัทเป็นผู้เล่นรายเดียวในตลาดที่สามารถพัฒนา “ไฮบริดโปรแกรม” เพื่อรองรับการทำ JV ได้อย่างครบวงจร พร้อมเตรียมนำกลไกใหม่อีก 2 รูปแบบมาใช้ ได้แก่ Profit-Sharing Management และ Outsourced Management

ดร.รักษ์ ระบุว่า ในปัจจุบันผู้เล่นที่มีกำลังซื้อ NPL มูลค่าตั้งแต่ 3,000–5,000 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง BAM ที่มีศักยภาพรองรับระดับดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการให้ AMC ขนาดเล็กเข้ามาซื้อพอร์ตต่อได้ เพื่อขยายตลาดในภาพรวมและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์

ด้านแนวทางแก้ไขหนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาใช้รูปแบบ “ร่วมลงทุน” กับลูกหนี้ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ระดับสูง (Strategic Move) ที่เตรียมนำมาใช้ในปีหน้า

สำหรับแนวโน้มปี 2569 ปริมาณ NPL ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ รวมกันอาจแตะระดับใกล้ 4 ล้านล้านบาท เป็น “Golden Period” ของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดย BAM ในฐานะผู้เล่นรายใหญ่มีความพร้อมสูงจากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 27 ปี ตั้งแต่วิกฤตการณ์ปี 2541

ในส่วนของแผนการซื้อหนี้รายใหญ่ (Big Ticket) บริษัทมีดีลอยู่หลายรายการ โดยบางดีลมีมูลค่าสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก และยังคงเดินหน้าเข้าซื้อทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเภททรัพย์ที่มีความต้องการสูง ได้แก่ โรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก 3 จังหวัด ที่ดินเปล่า โรงงานขนาดใหญ่ติดถนน รวมถึงบ้านและคอนโดมิเนียมมือสอง ซึ่งมีความต้องการมากกว่าตลาดมือหนึ่ง โดยปัจจุบัน BAM ถือครองเกือบ 15,000 ชิ้น

ภาพรวมพอร์ตหนี้ของ “จักรวาล BAM” มีแนวโน้มขยายตัวแตะระดับ 1 ล้านล้านบาท ในอนาคตอันใกล้ ขณะที่การจ่ายเงินปันผลยังคงมีทิศทางที่เป็นบวก โดยบริษัทตอกย้ำความพร้อมในการเดินหน้าซื้อหนี้ต่อเนื่อง เพื่อรองรับจังหวะการเติบโตของอุตสาหกรรม AMC ในปี 2569

Company Snapshot

Back to top button