
BAM วิ่ง 2% จ่อปิดดีลตั้ง “JV AMC” แบงก์ใหญ่ บริหารหนี้เสียแสนล้าน ชัดเจน พ.ย.นี้
BAM บวก 2% รับข่าวเตรียมจ่อปิดดีลตั้ง JV AMC กับแบงก์ใหญ่ชัดเจนเดือน พ.ย.นี้ คาดโอนหนี้เสียกว่า 1 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (29 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ณ เวลา 10:17 น. อยู่ที่ระดับ 6.95 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.21% สูงสุดที่ระดับ 7.05 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 69.39 ล้านบาท

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM เผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง เพื่อร่วมจัดตั้ง บริษัทร่วมบริหารสินทรัพย์ (JV AMC) เพื่อร่วมกันบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบการเงินของประเทศ
ล่าสุดมีความคืบหน้าการเจรจาแล้วกว่า 70% โดยแต่ละธนาคารได้แสดงความสนใจเข้าร่วมความร่วมมือกับ BAM อย่างจริงจัง เนื่องจากมองเห็นศักยภาพของ BAM ในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ สำหรับธนาคารแต่ละแห่งคาดว่าจะมีการโอนหนี้เข้ามาบริหารธนาคารละ 30,000 ล้านบาท รวม 3 ธนาคารคิดเป็นมูลค่ารวม 100,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หาก BAM ปิดดีล 3 ธนาคารพาณิชย์นี้ บริษัทฯ จะมี JV AMC รวม 5 แห่ง โดย 2 แห่งแรก ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด (ARUN AMC) บริษัทร่วมทุนระหว่าง BAM กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC บริษัทร่วมทุนระหว่าง BAM กับธนาคารออมสิน
“หลังจากแบงก์ชาติออกประกาศแนวทางการจัดตั้ง JV AMC รอบใหม่ คาดว่าจะสรุปข้อตกลงกับธนาคารทั้ง 3 แห่งได้ภายในเดือน พ.ย.2568 การจัดตั้ง JV AMC ถือเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญของ BAM ในการขยายฐานการบริหารสินทรัพย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้เสียในระบบการเงิน ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสสร้างการเติบโตให้กับ BAM ผ่านรายได้ค่าบริหารจัดการสินทรัพย์และส่วนแบ่งผลกำไรจากบริษัทร่วมทุน” ดร.รักษ์ กล่าว
ดร.รักษ์ กล่าวว่า BAM พร้อมใช้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการหนี้และทรัพย์สินรอการขาย มาปรับโครงสร้างสินทรัพย์ที่ได้รับจาก JV AMC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งต่อประโยชน์ให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม เชื่อว่าการร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารหนี้เสีย และเป็นอีกกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
สำหรับภาพรวมธุรกิจ BAM ปี 2568 เติบโตดีกว่าช่วงปีที่ผ่านมาถึง 25% ช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรับซื้อหนี้เข้ามาบริหารอีก 1,500 ล้านบาท ส่วนปี 2569 แม้ภาพรวมหนี้เสียในระบบเพิ่มขึ้น แต่การซื้อหนี้โดยตรงอาจจะไม่มากเท่ากับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทฯ มีหนี้เสียเข้ามาในสองรูปแบบมากขึ้น คือ จาก JV AMC และพันธมิตรมีอยู่จำนวนมาก
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นความคืบหน้าการที่กรณี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผลักดันตั้ง JV AMC เพิ่มคาดหวังจะช่วยลด NPL ลง 20-30% ของทั้งระบบ จากปัจจุบันที่ลดลงได้ราว 10%
ขณะที่ ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่าจะช่วยเร่งให้ NPL ในส่วนของสินเชื่อรายย่อยลดลงได้ในอนาคต เพราะรอบนี้จะเน้นแก้หนี้รายย่อยที่ไม่มีหลักประกันก่อน ซึ่งจะมี BAM และ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) (เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) เข้ามาเป็นตัวกลางในการจัดการหนี้
โดยอ้างอิงจากข่าวรอบก่อนระบุว่าจะใช้วงเงินเบื้องต้นทั้งหมด 1 หมื่นล้านบาท (มาจากเงินที่เหลือจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย“ ปัจจุบันยังเหลือเงินอยู่ 26,000 ล้านบาท) โดยจะซื้อหนี้ที่ 7 พันล้านบาท (ที่ราคา 5% ของหนี้รวม 123,000 ล้านบาท) และอีก 3 พันล้านบาท เป็นค่าบริหารจัดการของ BAM และ SAM
ขณะที่ ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ 3 แห่งที่ BAM กำลังหารือเพื่อตั้ง JV AMC เพิ่มเติม คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL (โดย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มี JV AMC อยู่แล้วกับ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT และ BAM)
แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงต้องรอรายละเอียดเงื่อนไขการร่วมทุน ในเรื่องของสัดส่วนการถือหุ้นและสิทธิ-หน้าที่ของ AMC และแต่ละธนาคาร) อีกที
ทั้งนี้ ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันเรียงจากมาก-น้อยคือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB (7%), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY (6%), KBANK (6%), SCB (5% รวมกลุ่มบริษัทย่อย)
ขณะที่ คาดว่ากลุ่ม Non-bank จะได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มธนาคาร จากวงเงินรับซื้อหนี้ที่มากกว่า (บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS และ บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO สัดส่วน Nano finance ที่ 20%, MTC สัดส่วนสินเชื่อไม่มีหลักประกัน 5-10%, SAWAD มี P-loan ที่ 3%) และ BAM ที่เราคาดว่าจะได้ประโยชน์โดยตรง
อย่างไรก็ดี การทำ JV AMC เป็นรูปแบบเดิมที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว โดยปัจจุบัน KBANK มีการทำ JV ร่วมกับ JMT และ BAM อยู่แล้ว (ซึ่งมีระยะเวลาที่อนุญาตให้ดำเนินธุรกิจ JV AMC ได้ไม่เกิน 15 ปี) โดย KBANK เริ่มทำ JV AMC กับ JMT (JK AMC) เมื่อช่วงไตรมาส 3/65 ทำให้ NPL ของ KBANK ลดลงได้ดีมาก มาอยู่ที่ 3.07% จากไตรมาส 2/65 ที่ 3.80% ขณะที่เราดูจากงบของ JMT พบว่ามีส่วนแบ่งกำไรที่ได้จาก JK AMC งวดครึ่งแรกปี 2568 อยู่ที่ 144 ล้านบาท (จากครึ่งแรกปี 2567 ที่ 228 ล้านบาท) ซึ่งหากคิดแบบทั้งปี จะคิดเป็นสัดส่วนที่ 0.6% ของกำไรสุทธิปี 2025E ของ KBANK
ยังคงน้ำหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, SCB เป็น Top pick ให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยังถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.72x PBV (-1.00SD below 10-yr average PBV) และระดับ Dividend yield ของกลุ่มที่อยู่สูงถึง 7% จากค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% โดยยังคงเลือก KTB แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท, SCB ให้ราคาเป้าหมาย 145.00 บาท

