ตลท.เร่งขับเคลื่อน New Curve ดึงเม็ดเงินต่างชาติ-เสริมศักยภาพเศรษฐกิจ

ตลท. มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเกินคาดหนุนความเชื่อมั่นครึ่งปีหลังจากงบประมาณผ่านและ Fund Flow ต่างชาติยังไหลเข้า ขณะที่กำไร บจ. ส่วนใหญ่ดีกว่าคาด พร้อมเดินหน้าผลักดัน “New Curve” อุตสาหกรรมอนาคต ทั้ง Virtual Bank, EV, Data Storage และ Health Tech ดึงดูดการลงทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 ก.ย. 2568) ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานแถลงสรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนสิงหาคม 2568 ว่า ตลาดทุนไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวท่ามกลางปัจจัยทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น

โดยเฉพาะการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่ 19% ซึ่งแม้จะสร้างแรงกดดันต่อภาคการส่งออก แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง สถานการณ์ดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการประเมินทิศทางการค้าและการลงทุน

ด้านปัจจัยภายนอก ดร.ศรพล ระบุว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่แจ็กสันโฮลสะท้อนสัญญาณใหม่ต่อทิศทางดอกเบี้ย หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่คาด ขณะที่เงินเฟ้อทั้งฝั่งผู้ผลิต (PPI) และผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวในระดับไม่สูงมาก

ทำให้ตลาดคาดการณ์สูงถึง 87% ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่กรอบ 4.00–4.25% การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนผ่านการปรับลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี และกลายเป็นแรงหนุนให้กระแสเงินทุนเริ่มไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงในเอเชีย รวมถึงไทย

สำหรับเศรษฐกิจไทย ดร.ศรพล ชี้ว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ขยายตัว 2.8% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แม้ชะลอลงจากไตรมาส 1/68 ที่ 3.2% แต่เมื่อเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาสยังเป็นบวกเล็กน้อย ส่งผลให้สภาพัฒน์ปรับคาดการณ์ GDP ทั้งปีขึ้นจาก 1.8% เป็น 2.0% โดยมีแรงหนุนจากการส่งออกที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังยังมีความเสี่ยงหากการส่งออกชะลอตัวจากผลของมาตรการภาษี แต่การที่พระราชบัญญัติงบประมาณผ่านความเห็นชอบแล้ว ถือเป็นหลักประกันสำคัญที่ภาครัฐสามารถเร่งเบิกจ่ายเพื่อพยุงเศรษฐกิจได้

ด้านตลาดทุน แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงติดลบตั้งแต่ต้นปี (year-to-date) แต่ Fund Flow ต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคม นักลงทุนต่างชาติถือครองสัดส่วนการซื้อขายถึง 51% ของตลาด สะท้อนมุมมองว่าสินทรัพย์ไทยยังมีมูลค่าที่น่าสนใจ ทั้งในด้านโอกาสการเติบโต (upside) และเงินปันผล ขณะเดียวกัน นักลงทุนรายย่อยก็มีความคึกคัก ปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน แตะ 17,000 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนที่คึกคัก โดยภาพรวมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ดร.ศรพล เปิดเผยว่า ไตรมาส 2/2568 ถือว่าดีกว่าที่ตลาดกังวล โดยจำนวนบริษัทที่ทำกำไรสูงกว่าคาดมีมากกว่าบริษัทที่ต่ำกว่าคาด ถือเป็น “positive surprise” โดยเฉพาะในกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรม สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป อีกทั้งหลายบริษัทสามารถควบคุมต้นทุนและปรับโครงสร้างธุรกิจให้กระชับขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) ทรงตัวในระดับแข็งแกร่ง

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า SET Index เมื่อเทียบสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มทรัพยากร สะท้อนถึงการปรับตัวของธุรกิจที่ตอบรับกับความต้องการใหม่ ๆ ของตลาด ขณะที่ Forward P/E ของตลาด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 13.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นเอเชียที่ 13.5 เท่า ขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ 14.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเอเชียที่ 15.4 เท่า ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับสูงที่ 3.99% เทียบกับค่าเฉลี่ยเอเชียที่ 3.08%

ในส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนสิงหาคมมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 369,772 สัญญา เพิ่มขึ้น 4.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนจาก Single Stock Futures และ SET50 Index Options แม้ภาพรวมทั้งปี 2568 ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 419,267 สัญญา ลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากการชะลอตัวของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ความชัดเจนของนโยบายภาษี โดยเฉพาะภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ” ซึ่งหลายกองทุนเพิ่งค้นพบว่ามีบริษัทไทยที่น่าสนใจมากกว่าที่เคยรับรู้ไว้ นายอัสสเดชย้ำว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนธุรกิจนวัตกรรมและผู้ประกอบการรายเล็กที่มีศักยภาพ ให้สามารถเติบโตจนเข้าสู่ตลาดทุนได้

ในเชิงนโยบาย ดร.ศรพล ระบุว่าตลาดทุนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ ทั้งการผลักดันกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFUND) เพื่อรองรับการลงทุน และการเสริมความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจผ่านความยั่งยืน (ESG)

ขณะที่ นายอัสสเดช กล่าวต่อว่า โครงการ Just Plus มีบริษัทเข้าร่วมแล้วกว่า 35 รายภายในเวลาเพียงสองเดือน และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะผลักดันต่อเนื่องไม่ว่ารัฐบาลชุดใดจะเข้ามาบริหาร นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า BOI ได้เข้ามามีส่วนร่วมแล้ว พร้อมทั้งกล่าวถึงโครงการ G to Token ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่ ซึ่งส่งผลให้โครงการ B Connect ต้องชะลอตามไปด้วย

ในส่วนของประเด็นการเมือง นายอัสสเดช มองว่าแม้สถานการณ์การเมืองยังไม่แน่นอน แต่ตลาดทุนไทยมีเครื่องมือรองรับความผันผวน เช่น Circuit Breaker และ Surveillance และที่สำคัญคือไทยเป็นประเทศ “pro business” ที่ไม่ทำลายกลไกเศรษฐกิจ นักลงทุนต่างชาติจึงยังเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจไทย

Back to top button