“กรภัทร” มอง SET เคาะกรอบ 1,300–1,330 จุด ชู 4 ธีมเด่นน่าลงทุน

“กรภัทร” มอง SET ผ่านพ้นช่วงที่ให้น้ำหนักกับความเสี่ยงทางการเมืองไปแล้ว พร้อมตั้งเป้าดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,300–1,330 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นแบบ “ไซด์เวย์” ต่อเนื่องในช่วงถัดไป พร้อมแนะนำลงทุน 4 ธีม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน-โรงพยาบาล-วัสดุก่อสร้างและค้าปลีก-เหล็ก


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 11 ก.ย.68 ว่า ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านพ้นช่วงที่ให้น้ำหนักกับความเสี่ยงทางการเมืองไปแล้ว โดยปัจจุบันนักลงทุนหันมาโฟกัสการประเมินผลงานและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดได้สะท้อนความเสี่ยงทางการเมืองไปแล้ว เห็นได้จากการปรับฐานลงกว่า 14% และค่าความเสี่ยงที่ดีดตัวขึ้นสูงถึง 120 basis point สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ปัจจุบันการเมืองไม่ถูกมองเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เช่น ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และอดีตผู้บริหารภาคพลังงาน รวมถึงบทบาทของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่ามีคุณสมบัติประนีประนอม ได้สร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อตลาดในระดับที่นักลงทุนไม่ได้คาดการณ์มาก่อน

สำหรับรัฐบาลมีแนวโน้มเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568–2569 ที่มีความพร้อมแล้ว โดยเน้นโครงการขนาดกลางและเล็กในภูมิภาค เช่น การซ่อมสร้างถนน รวมถึงส่งสัญญาณสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์โดยไม่ยึดติดว่าเป็นของพรรคการเมืองใด ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่าช่วง 4 เดือนข้างหน้าจะอยู่ในภาวะ “Market Refresh” จากความคาดหวังต่อนโยบายใหม่ และหากรัฐบาลบริหารจัดการได้ดี ก็จะเอื้อต่อการผลักดันโครงการเชิงโครงสร้างระยะยาว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการลงทุน

ในด้านการเมือง นักวิเคราะห์มองว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดไป ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปี 2569 มีโอกาสเห็นปรากฏการณ์ Election Rally ที่ไม่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี 2562 และ 2566 เนื่องจากข้อจำกัดบทบาทของวุฒิสภา แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มี ส.ว. ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ตลาดสามารถคาดการณ์ทิศทางนโยบายได้ชัดเจนขึ้น

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ วงจรดอกเบี้ยโลกกำลังเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม และจะสิ้นสุดวงจรดอกเบี้ยขาลงในไตรมาสแรกของปีหน้า ส่วนสหรัฐฯ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่งในการลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง สถานการณ์ดังกล่าวเอื้อต่อตลาดเกิดใหม่ให้มีโอกาส Outperform

ขณะที่ไทยเองคาดว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 2–3 ครั้ง ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าระดับ Neutral Rate และช่วยหนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหน้า

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ปัจจัยบวกทั้งในและต่างประเทศดังกล่าว จะช่วยหนุนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง พร้อมตั้งเป้าดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,300–1,330 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นแบบ “ไซด์เวย์” ต่อเนื่องในช่วงถัดไป

สำหรับหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้

กลุ่มพลังงานอย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับสูตรราคาแก๊ส (Pooled Gas) ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลอาจใช้เพื่อลดค่าไฟฟ้าให้ภาคครัวเรือน การปรับลดต้นทุนก๊าซจะช่วยขยายส่วนต่างกำไร (Margin) ของกลุ่ม ปตท. ในขณะที่ค่าไฟฟ้าของประชาชนลดลง

กลุ่มโรงพยาบาลอย่าง บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ได้รับการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 217 บาท จากสัญญาณบวกที่จำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางในเดือนแรกของปีเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

กลุ่มวัสดุก่อสร้างและค้าปลีก (เช่น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL, บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO) ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะเร่งรัดการลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

กลุ่มเหล็ก ได้รับประโยชน์จากนโยบาย Anti-dumping และการควบรวมอุตสาหกรรมในจีน ซึ่งจะทำให้ปริมาณอุปทาน (Supply) ลดลง การทุ่มตลาดน้อยลง และราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

Back to top button