“สภาผู้บริโภค” จี้ กพช. ชุดใหม่ ทบทวนบอร์ด PDP หวั่นเอื้อนายทุน

สภาผู้บริโภคยื่นหนังสือถึง กพช.ชุดใหม่ เรียกร้องทบทวนโครงสร้าง "บอร์ด PDP 2025" ที่แต่งตั้งในรัฐบาลก่อน ชี้ขาดตัวแทนเอกชน-ประชาชน หวั่นเอื้อนายทุน เสนอจัดโครงสร้างใหม่บน 4 หลักการ เน้นโปร่งใส-มีส่วนร่วม-ไร้ผลประโยชน์ทับซ้อน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาผู้บริโภคยื่นหนังสือถึงประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ให้ทบทวนโครงสร้างคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทําแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ 2025 (บอร์ด PDP 2025) ที่แต่งตั้งโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ยังขาดผู้แทนภาคเอกชนและประชาชน ผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากแผน PDP ฉบับใหม่

นายพชร แกล้วกล้า ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อขอให้ทบทวนองค์ประกอบและหลักการในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (แผน PDP) ฉบับใหม่ ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วได้แต่งตั้ง

นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการอีก 20 คน ในการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่นี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีสัดส่วนที่มาของคณะกรรรมการที่ไม่ครอบคลุมและไม่หลากหลายเพียงพอ และไม่มีสัดส่วนตัวแทนจากผู้บริโภคเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการ

ทั้งนี้จะทำให้แผน PDP ซึ่งถือเป็นแผนพลังงานชาติ ขาดการมีส่วนร่วม ไม่ครอบคลุมถึงภาคเอกชน ภาคประชาสังคม หรือผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากนี้ วิธีการทำงานของคณะกรรมการ ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนและเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม แม้จะบอกว่าให้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลได้ แต่ก็อาจจะจำกัดอยู่แค่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

“อีกประเด็นหนึ่งที่มีคนตั้งข้อสังเกตคือ คณะกรรมการบางท่านอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ เช่น ประธานกรรมการที่เคยเป็นกรรมการของ บมจ.ปตท. ทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อประธานเคยมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทพลังงานแบบเดิมที่ใช้ฟอสซิล จะทำให้เกิดความเป็นธรรมในด้านการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนได้มากน้อยเพียงใด” พชรกล่าว

สภาผู้บริโภคมีความเห็นว่า คณะกรรมการควรมีองค์ประกอบ โครงสร้าง และแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่

ความเชี่ยวชาญและความรู้ที่หลากหลาย (Multi-Disciplinary Expertise) กล่าวคือ คณะกรรมการไม่ควรจำกัดเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน วิศวกร หรือนักกฎหมาย แต่ควรครอบคลุมความรู้ในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความเป็นอิสระและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน (Independence & No Conflict of Interest) สมาชิกควรปราศจากอคติหรือผลประโยชน์จากการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานใด ๆ เพื่อป้องกันการบิดเบือนการตัดสินใจ

ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ (Transparency & Accountability) หมายถึง กระบวนการคัดเลือกและทำงานของคณะกรรมการต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ

การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน (Stakeholder Inclusivity) เพื่อสะท้อนความต้องการและรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย

ตามข้อเสนอของสภาผู้บริโภค คณะกรรมการควรประกอบด้วยคณะกรรมการหลักและคณะอนุกรรมการหรือกลุ่มทำงาน โดยคณะกรรมการหลักควรทำหน้าที่กำหนดทิศทางหลักและตัดสินใจขั้นสุดท้าย สมาชิกควรมีจำนวน 15-21 คน และมาจากภาคส่วนต่าง ๆ ดังนี้

ด้านนโยบายและกฎหมาย ประกอบด้วย ตัวแทนจากกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)

ด้านวิชาการและเทคโนโลยี ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญอิสระจากสถาบันชั้นนำ เช่น นักวิชาการด้านพลังงานหมุนเวียน เศรษฐศาสตร์พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

ด้านภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ประกอบด้วย ตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และสมาคมพลังงานหมุนเวียน

ด้านสังคมและชุมชน ประกอบด้วย ตัวแทนจากสภาผู้บริโภค องค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม (NGOs) ที่น่าเชื่อถือ และผู้เชี่ยวชาญด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

นอกจากนี้ ยังควรมีคณะอนุกรรมการ 4 ชุด เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกในแต่ละด้าน ได้แก่ อนุกรรมการด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงระบบไฟฟ้า ด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน, ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) และด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

ทั้งนี้ กระบวนการทำงานที่โปร่งใส ควรมีการเผยแพร่การประชุมและข้อมูลต่อสาธารณะ รวมถึงการจัดรับฟังความคิดเห็นอย่างจริงจังในทุกภูมิภาค ส่วนการประเมินทางเลือก ควรพิจารณาหลายทางเลือก ไม่ใช่เพียงแผนเดียว เช่น ทางเลือกแบบเดิม, ทางเลือกที่เน้นพลังงานหมุนเวียนสูง, ทางเลือกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นฐาน และทางเลือกแบบกระจายศูนย์

Back to top button