
โบรกชู 8 หุ้น “อาหาร-ส่งออก” รับบาทอ่อนหลัง “บลูมเบิร์ก” ตีข่าวธปท.-คลัง จ่อเก็บภาษีทองคำ
“บลูมเบิร์ก” เผย “ธปท.-คลัง” จ่อเก็บภาษีทองคำออนไลน์ หวังลดแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ฟากโบรกชี้ล่าสุดเงินบาทอ่อนลง 0.7% แตะ 31.9 บาท ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกและบริการ เช่น ITC, STA, GFPT, TFG, CPF, ERW, CENTEL, BDMS
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (15 ก.ย. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการหารือแนวทางการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขาย ทองคำ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีการชำระและชำระบัญชีด้วย เงินบาท มาตรการนี้ อาจไม่ครอบคลุมการซื้อขายทองคำที่ทำธุรกรรมด้วย ดอลลาร์สหรัฐ การซื้อขายในตลาดล่วงหน้ารวมถึงการซื้อทองคำจากร้านทองทั่วไป
ขณะที่ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมาย คือ ลดการส่งออกทองคำพร้อมทำให้การถือครองทองคำสำหรับคนไทยมีต้นทุนสูงขึ้น อีกทั้งแหล่งข่าวกล่าวเสริมว่าเงินดอลลาร์ที่ไหลเข้ามาจากการส่งออกทองคำถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ เงินบาทแข็งค่า
ภายหลังจากมีรายงานเรื่องภาษีค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากถึง 0.6% มาอยู่ที่ 31.92 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นการร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568
ข้อมูลการค้า ระบุว่า การส่งออกทองคำของไทยในช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 เพิ่มขึ้น 69% แตะมูลค่า 254,000 ล้านบาท หรือราว 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการส่งออกไปยัง กัมพูชา ที่ขยายตัวผิดปกติจนมีเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นเกือบ 40% นับตั้งแต่ต้นปี 2568
ส่วนรายได้จากการส่งออกทองคำถือเป็น 1 ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยค่าเงินแข็งขึ้น 7% นับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้มีเรียกร้อง (ธปท.) แทรกแซงเพื่อปกป้องผู้ส่งออกและการท่องเที่ยวมากขึ้น
ด้าน ธปท. เตรียมกำหนดหารือกับผู้ประกอบการค้าทองคำวันนี้ เพื่อพูดคุยผลกระทบทองคำต่อค่าเงินบาท รวมถึงแนวทางการเข้มงวดการรายงานธุรกรรม ขณะที่ กระทรวงการคลัง จัดการประชุมหารือเพิ่มเติมกับ ธปท. คาดว่าจะมีการตัดสินใจได้ก็ต่อเมื่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งแหล่งข่าวกล่าวว่า ภาษีดังกล่าวอาจถูกจัดเก็บใน รูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ขณะที่ หากผู้ขายทองคำแปลงรายได้ดอลลาร์เป็นเงินบาท ธุรกรรมนั้นอาจถูกจัดเก็บภาษีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีอัตราภาษียังไม่ได้ข้อสรุป
ธปท. ระบุว่าเพิ่มเติมว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่วนใหญ่เกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และปัจจัยภายนอก ย้ำว่าจะเข้ามาแทรกแซงตลาดหากมีความผันผวนเกินควร โดยตามปกติแล้วค่าเงินบาทมักได้แรงหนุนเมื่อคนไทยขายทองคำเพราะรายได้ดอลลาร์จะถูกแปลงกลับเป็นเงินบาท
อีกทั้ง การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลลบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย ซึ่งผู้ส่งออกกำลังเผชิญความยากลำบาก หลังจากสินค้าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าโดยสหรัฐในอัตรา 19% เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวต่างชาติจากจีนลดลงผลกระทบของค่าเงินแข็งและความกังวลเรื่องความปลอดภัย
ทั้งนี้ ทองคำยังมีความหมายเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ลึกซึ้งในสังคมไทย มักถูกถวายตามวัดพุทธ และถือเป็นวิธีการออมและส่งต่อความมั่งคั่งตามธรรมเนียม โดยความต้องการทองคำในไทยเพิ่มขึ้น 13% เมื่อปี 2567 ทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่มีการเติบโตต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน แม้ในช่วงโควิด-19 ตามข้อมูลจากบริษัท YLG Bullion International อ้างอิง World Gold Council โดยคนไทยซื้อทองคำเกือบ 70% ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ตามข้อมูลจาก MTS Gold Group หนึ่งในผู้ค้าทองรายใหญ่ของประเทศ
ข่าวดังกล่าวสอดรับกับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด หรือ YUANTA ระบุว่า Bloomberg รายงานว่า ธปท. ประชุมร่วมกับผู้ค้าทองคำในประเทศในประเด็นผลกระทบจากการนำเข้าและส่งออกทองคำที่ทำให้เงินบาทผันผวน ขณะที่ ธปท.และกระทรวงการคลัง กำลังพิจารณาแนวทางลดความผันผวนของเงินบาทเช่นกัน
โดยส่งผลให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่า 0.7% อยู่ที่ 31.9 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ นับว่าอ่อนกว่าภูมิภาคที่เฉลี่ยอ่อนค่าราว 0.2% ถือเป็นปัจจัยบวกเชิง Sentiment ต่อกลุ่มส่งออก อาทิ บริษัท ไอ–เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
รวมไปถึงกลุ่มบริการอย่าง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เป็นต้น
 
				
