
“ไพบูลย์” ลุยกระตุ้นตลาดหุ้นไทย จ่อชง “เอกนิติ” เว้นภาษีเงินปันผลถือหุ้นเกิน 1 ปี
ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ พร้อมบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ จ่อเสนอ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ขอเว้นภาษีเงินปันผลในหุ้นไทยที่ถือเกิน 1 ปี, ให้วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นคนละ 5 แสนบาทต่อปี, สนับสนุนลงทุนใน Thai ESG คนละ 3 แสนบาท เหมือนเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (18 ก.ย.68) นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนและคณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยถึงรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนที่ติดหุ้นไทยเริ่มยิ้มออกได้บ้าง เพราะดัชนีฯ พุ่งขึ้นเกือบ 250 จุด หรือ 24% (หรือจากระดับ 1,060 จุด เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. 2568)
เหตุผลหลัก คือ ปัจจัยการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่ง ที่รัฐบาลจะนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ น่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ทันทีที่เริ่มใช้
“แน่นอนว่าการใช้นโยบายประชานิยมลักษณะนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ไม่ควรทำแบบพร่ำเพรื่อ ทั้งด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ และหนี้รัฐบาลที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ถือว่ามีความจำเป็นในห้วงเวลานี้ และควรสนับสนุน เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอมาก” นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า เมื่อมองไปข้างหน้า ส่วนตัวตั้งความหวังว่าจะได้เห็นนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ที่ตอบโจทย์ประเทศไม่ใช่แค่ในระยะสั้น แต่รวมถึงระยะยาว เป็นนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง และเป็นนโยบายที่ได้รับการตอบรับด้านบวกจากสังคม
อีกทั้ง เชื่อว่าทีมเศรษฐกิจนี้ โดยเฉพาะว่าที่รัฐมนตรีคลัง (ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เข้าใจปัญหาของประเทศไทยดี ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเชิงโครงสร้าง และความจำเป็นในการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ถึงแม้รัฐบาลนายกฯ อนุทินอาจมีเวลาทำงานแค่ 6-7 เดือน แต่เชื่อว่าเพียงพอในการทำทั้งนโยบายระยะสั้น และวางรากฐานการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ถึงแม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเริ่มดีขึ้น แต่หากนับจากต้นปี 2568 ดัชนีหุ้นไทยยังติดลบเกือบ 100 จุด หรือ -7% เทียบกับตลาดหุ้นโลกที่ปรับขึ้น 15% นับจากต้นปี, ตลาดหุ้น Emerging Markets ปรับขึ้น 23%, ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 32%
“มีตลาดหุ้นเพียง 7 ประเทศทั่วโลกที่ติดลบ (จากต้นปี 2568) และมี 3 ประเทศที่ติดลบมากกว่าไทย และที่น่าตกใจกว่านั้น ถ้านับตั้งแต่ต้นปี 2566 ดัชนีหุ้นไทยติดลบไป 22% ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 68% เท่ากับ Outperform ตลาดหุ้นไทยถึง 90%” นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับปัญหาตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีแค่หุ้นตก แต่ที่หนักกว่านั้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมา คือการที่ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถทำหน้าที่แหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในบทบาทสำคัญของตลาดหุ้น คือการทำหน้าที่เสาหลักในการระดมทุนเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ เพราะการยกระดับเศรษฐกิจ หรือการลงทุนมูลค่าสูง ๆ ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำเป็นต้องอาศัย “เงินทุน” ควบคู่ไปกับการใช้ “เงินกู้”
ทั้งนี้ ในอดีตช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้น และมีนักลงทุนระยะยาวจำนวนมาก รวมทั้งสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงสิบปีระหว่างปี 2556 ถึง 2565 การระดมทุนในตลาดหุ้นไทย รวมตลาดแรกและตลาดรอง มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปี บางปีระดมทุนเกือบ 5 แสนล้านบาท เมื่อภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุน ผลพลอยได้ก็คือการขยายตัวที่รวดเร็วของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ เม็ดเงินระดมทุนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยเหลือแค่ 2.3 หมื่นล้านบาท และยังไม่มีการระดมทุน IPO ในกระดาน SET เลยแม้แต่บริษัทเดียว
และจะน่าเป็นห่วงมากขึ้น ถ้าตลาดหุ้นยังไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่แหล่งระดมทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในระยะยาว จึงจำเป็นต้องใช้ “เงินทุน” เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ อีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ หนึ่งในปัญหาหลักคือ ตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนระยะสั้นมากเกินไป นอกจากทำให้ตลาดหุ้นผันผวนสูง ยังทำให้ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าระยะยาวของกิจการเท่าที่ควร ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ในการระดมทุน ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนระยะสั้น ที่เน้นเทรดดิ้ง มากกว่าถือระยะยาว คาดมีสัดส่วนสูงถึง 70-75% ของมูลค่าซื้อขาย ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพเหมือน trading market มากกว่า ตลาดเพื่อการลงทุน
“สิ่งแรกที่อยากได้จากรัฐบาลอนุทิน คือการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นรากฐานสำคัญในการทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน” นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับข้อเสนอในการเพิ่มนักลงทุนระยะยาว ประกอบด้วย 1. ยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย และถือหุ้นเกิน 1 ปี
2. ให้วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนตรงในตลาดหุ้น คนละ 500,000 บาท ต่อปี โดยต้องคงเงินลงทุนไว้ในตลาดหุ้นไม่ต่ำกว่า 3 ปี แต่สามารถซื้อขายเพื่อสับเปลี่ยนตัวหุ้นได้
3. สนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESG คนละ 300,000 บาท เหมือนเดิมต่อไป แต่ให้ทำแบบถาวร เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดเวลาเหมือนกองทุน LTF ที่ผ่านมา
4. ดึงเม็ดเงินลงทุนจากบริษัทประกันชีวิต โดยลดค่าความเสี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จาก 25% เหลือ 10% เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเพิ่มนำหน้กการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
5. สร้างแรงจูงใจให้องค์กรภายใต้การบริหารของภาครัฐ เช่น สำนักงานประกันสังคม สำนักงานกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพิ่มนำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
“ถ้ารัฐบาลนายกฯ อนุทิน สนับสนุนให้เกิดการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยกลับสู่ขาขึ้นแบบยั่งยืน และกลับมาทำหน้าที่แหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ น่าจะมีโอกาสสูงมาก” นายไพบูลย์ กล่าว
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และประธานสภาตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลใหม่เริ่มทำงานแล้ว ทางสภาตลาดทุนไทยพรัอมด้วยสมาชิกทั้ง 7 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA) จะเข้าพบ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี) เพื่อขอหารือในการหาแนวทางกระตุ้นเศรฐกิจและตลาดทุนไทย
สำหรับเรื่องที่ทาง FETCO เตรียมเข้าหารือในครั้งนี้ คือ ต้องการให้ภาครัฐผลักดัน แนวคิด TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้น ที่เปิดให้นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดย TISA เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น
ขณะที่แพ็กเกจ TISA ที่ทาง FETCO ได้เตรียมเสนอกับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นจะรวมในเรื่องของการต่ออายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยาว (Super Saving Funds : SSF) ที่ครบกำหนดอายุในปี 2568 ด้วย โดยข้อมูลทุกอย่างที่จะนำเสนอนั้น ทาง FETCO และสมาชิกได้จัดเตรียมข้อมูลไว้แล้ว และมั่นใจทางรัฐมนตรีคลังมีความเข้าใจ และพร้อมผลักดันเพื่อเดินหน้าและจะส่งผลดีต่อตลาดทุนไทยได้แน่นอน
นอกจากนี้ ในฐานะที่ ดร.เอกนิติ จะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี (ด้านเศรษฐกิจ) ด้วยนั้น ก็จะเสนอให้รัฐบาลเพิ่มทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณและบุคลากรให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment: BOI) อย่างน้อย 3 เท่า เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยยอดการลงทุนผ่าน BOI ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเสนอให้เพิ่มงบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อยกระดับการทำตลาดและดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ก็ควรได้รับงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขยายตลาดใหม่ ๆ แทนตลาดสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายลดสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จาก 20% เหลือ 10% ภายใน 3 ปี ซึ่งจะช่วยสร้างความเสถียรให้ภาคการส่งออก
“คณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจชุดใหม่ถือว่ามีความเหมาะสมทุกตำแหน่ง และพร้อมช่วยผลักดันนโยบายเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายกอบศักดิ์ กล่าว

