
TURBO เคาะราคาไอพีโอ 1.50 บาท เปิดจองซื้อ 19-23 ก.ย. เข้าเทรด SET ปลายเดือนนี้
TURBO เสนอขาย IPO รวม 537 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท เคาะราคา 1.50 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 19, 22 และ 23 ก.ย.นี้ เตรียมเข้าเทรดปลายเดือน ก.ย. ตลาด SET เพื่อระดมทุนขยายสาขาและต่อยอดธุรกิจการเงินครบวงจร
นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO เปิดเผยว่า “TURBO” เป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อย ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการเงินของธนาคารหรือเข้ารับบริการในส่วนอื่น ๆ ได้ครบถ้วน โดยต้องการให้ผู้คนในชุมชนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงินที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างสมเหตุสมผล
ปัจจุบัน TURBO แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งครอบคลุมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อโฉนดที่ดิน และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย ที่ให้บริการทั้งประกันวินาศภัยและประกันชีวิต โดยมีจุดแข็งด้านการให้บริการที่รวดเร็ว เข้าถึงและเข้าใจลูกค้า พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนการดำเนินงานทุกขั้นตอน ส่งผลให้สามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับต่ำในระยะยาว ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 TURBO มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 996 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 54 จังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม TURBO เป็นอีกหนึ่งบริษัท ที่มีการเติบโตสูงอย่างเห็นได้ชัด สามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 3,282 ล้านบาท เป็น 11,262.9 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 31.5%
สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 กลุ่มบริษัทฯ ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อสาขาที่ 1.4 ล้านบาทต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 2.3 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี กลุ่มบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อสาขาจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากการขยายสาขา ประกอบกับการนำระบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมและกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมาใช้ควบคู่กัน นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีอายุสาขาเฉลี่ยเพียง 4.1 ปี โดยมีสัดส่วนสาขาที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีถึง 65.6% ของจำนวนสาขาทั้งหมด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
ทั้งนี้ TURBO ได้วางกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ 4 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต โดย นายสุธัช ได้ระบุว่า สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจนั้นคือ มุ่งสร้างแบรนด์ให้เป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้า โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการที่สร้างความประทับใจและนำไปสู่การบอกต่อ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ลูกค้า “ชอบ” และ “กลับมาใช้บริการซ้ำ” ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจ
ขณะเดียวกัน TURBO ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ ไม่ได้พึ่งพาการจ้าง Outsource ภายนอก ส่งผลให้บริษัทสามารถออกแบบและปรับปรุงระบบได้อย่างตรงจุดและยืดหยุ่น รวมถึงการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ในทุกกระบวนการ
อีกด้านหนึ่ง บริษัทให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของลูกค้า โดยยึดหลักการบริการที่รวดเร็ว โปร่งใส และสะดวกที่สุด ลูกค้าสามารถได้รับเงินภายใน 20-40 นาที และจุดแข็งของ TURBO นั้น คือสาขาเปิดให้บริการตลอด 7 วัน ปัจจุบัน TURBO มีสาขากว่า 900 แห่ง ครอบคลุม 54 จังหวัดทั่วประเทศ และยังมีศักยภาพในการขยายได้ถึง 1,500–1,800 สาขาในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการขยายให้ครบไม่น้อยกว่า 1,475 สาขาภายในปี 2572
นอกจากนี้ TURBO ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการประกันภัยที่หลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างของลูกค้า ทั้งสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถยนต์ โฉนดที่ดิน และนาโนไฟแนนซ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น ประกันรถจักรยานยนต์ ประกันรถยนต์ ประกันโรคร้ายแรง และประกันสุขภาพ โดยมุ่งเน้นตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารากฐานที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เข้าถึงความคุ้มครองและทางเลือกที่เหมาะสม
นายสุธัช กล่าวต่อว่า TURBO เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสร้างการเติบโตสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำระดับประเทศ ด้วยกลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ 1) มุ่งเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจลูกค้า (Build Brand) โดยเน้นคุณภาพการให้บริการ รักษาความประทับใจและการบอกต่อของลูกค้าให้อยู่ในระดับสูง 2) พัฒนาระบบเทคโนโลยี (Build Technology) โดย TURBO ยังคงกลยุทธ์ในการมีทีมเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ทำให้สร้างระบบเทคโนโลยีที่มีความเฉพาะและยืดหยุ่นได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการนำ AI มาปรับใช้ในทุกๆ กระบวนการทำงาน
3) ด้านการเสริมความสะดวกสบาย (Build Convenience) บริษัทมุ่งขยายเครือข่ายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 1,475 สาขาภายในปี 2572 ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ครบถ้วนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ลูกค้า 4) เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย (Build Product Choices) เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประเภทหลักประกันสำหรับสินเชื่อ การขยายประเภทผลิตภัณฑ์ประกันภัย ตลอดจนการเพิ่มจำนวนพันธมิตรบริษัทประกัน เพื่อยกระดับความครบวงจรของบริการทางการเงินและการประกันภัยในอนาคต
ด้าน นายธนันท์ ลิ้มสายพรหม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า บริษัทมีศักยภาพด้านการแข่งขันที่โดดเด่น ส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทในช่วงปี 2566–2567 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 2,430 ล้านบาท และ 3,033 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น 24.8% และมีกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท และ 141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5%
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–มิถุนายน) กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 1,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% และมีกำไรสุทธิ 235 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 285% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) อยู่ในระดับ 19.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15.1% อย่างชัดเจน อีกทั้งอัตรารายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิเฉลี่ยยังอยู่ที่ 21.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 18.0% อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพของ TURBO
ด้านการบริหารความเสี่ยง นายธนันท์ กล่าวว่า ในช่วงปี 2567–2568 บริษัทได้ปรับปรุงระบบการจัดการความเสี่ยงในทุกกระบวนการ ทั้งการนำระบบ Scoring มาใช้ การเพิ่มติดตามหนี้ทั้งภาคสนามและผ่านโทรศัพท์ ซึ่งเริ่มเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก ขณะเดียวกัน นายสุธัช ยังย้ำว่าผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อของ TURBO สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (reward ratio) ที่โดดเด่น พร้อมทั้งมีแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เป็นระบบเดียวกัน ช่วยให้ปล่อยสินเชื่อได้รวดเร็วโดยไม่กระทบต่อคุณภาพและยังควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายคมกฤต รักษากุลเกียรติ หัวหน้าวาณิชธนกิจ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO มีจุดแข็งแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ด้วยความสามารถในการสร้างรายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย
ทั้งนี้ TURBO ยังมีโอกาสเติบโตตามทิศทางอุตสาหกรรมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันของผู้ประกอบการนอนแบงก์ ซึ่งมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี 22.4% ตั้งแต่ปี 2565 ถึงไตรมาส 1 ปี 2568 ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริการผ่อนชำระเบี้ยประกันภัยและประกันชีวิตของบริษัทก็มีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 54.3% ต่อปี ระหว่างปี 2563–2567
นอกจากนี้ บริษัทยังเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่าย พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการดำเนินงาน ตั้งแต่การปล่อยสินเชื่อ การติดตามทวงถามหนี้ ไปจนถึงการบริหารความเสี่ยงที่อาศัยข้อมูลแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังขับเคลื่อนองค์กรด้วยทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการเงินและเทคโนโลยี
ล่าสุด TURBO ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เสนอขายหลักทรัพย์ โดยแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) มีผลบังคับใช้แล้ว สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในครั้งนี้ มีจำนวนไม่เกิน 537 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย
ทั้งนี้ การเสนอขายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 447.78 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.8% และการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมโดยบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด จำนวนไม่เกิน 89.22 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้
ด้าน นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า วัตถุประสงค์การเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ล่าสุดได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.50 บาทต่อหุ้น จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อวันที่ 19 – 23 กันยายน 2568 และคาดว่าจะสามารถนำหุ้น TURBO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนกันยายนนี้ ทั้งนี้ มองว่าราคาเสนอขาย IPO ดังกล่าวมีความเหมาะสม สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตและพร้อมจะก้าวสู่ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยชั้นนำของประเทศ

