
จับตา SKIN เทรดวันแรกเหนือจอง! โบรกเคาะเป้าสูงสุด 3.64 บาท ชี้กำไรโตเฉลี่ย 21%
SKIN ลงสนามเทรด mai วันแรก จับตาราคาเปิดเหนือจอง หลัง 5 โบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมาย 3.00-3.64 บาท คาดกำไรเฉลี่ยปี 2568-2572 โตต่อเนื่อง 21% หนุนโดยการขยายแบรนด์เครื่องสำอางและรุกตลาดต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ก.ย. 68) หลักทรัพย์ของ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนจำนวน 44 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวม 52.80 ล้านบาท
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ในการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิม รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 5–7 รายการต่อปี ครอบคลุมทั้งกลุ่มเครื่องสำอางและเวชสำอางสกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ “Skinsista” และแบรนด์เวชสำอางใหม่ “Dermie” พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Health Product) ในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ภายในปี 2570 ควบคู่กับการขยายตลาดในประเทศผ่านช่องทาง Modern Trade และ E-commerce ซึ่งมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถสร้าง New S-Curve ได้อย่างชัดเจน จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายจุดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการขยายฐานลูกค้าในวงกว้างผ่านกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพภายหลังการระดมทุน IPO
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 95.30 ล้านบาท ชะลอตัวจาก 123.81 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับรูปแบบการขายเป็นขายขาดมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการฝากขายลดลง อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 134.76% อยู่ที่ 7.63 ล้านบาท จาก 3.25 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า เป็นผลจากการควบคุมต้นทุนการจัดจำหน่ายและค่าส่งเสริมการขาย ตลอดจนการปรับสัดส่วนงบประมาณไปยังช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง
ด้านบทวิเคราะห์จาก บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด หรือ LIB มองแนวโน้มกำไรของ SKIN โดยคาดปีนี้จะฟื้นตัวแรง เพิ่มขึ้น 96.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 21 ล้านบาท จากฐานต่ำปีก่อน 11 ล้านบาท ซึ่งมีรายการพิเศษเชิงลบ ผสานกับการออกสินค้าใหม่เพื่อเร่งยอดขาย และเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย อย่างไรก็ดีการเพิ่มทุน RO ขนาดใหญ่เมื่อ ก.ค. 2567 และ IPO อีกเพิ่มขึ้น 44% นี้ ทำให้ EPS ปี 68 ได้รับผลกระทบ Dilution effect อย่างมีนัยสำคัญ -26.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
บล.ลิเบอเรเตอร์ ให้ราคาเหมาะสมของหุ้น SKIN ในปี 2568 ที่ระดับ 3.15 บาท/หุ้น โดยประเมินด้วยอัตราส่วนราคาตลาดต่อยอดขาย (P/Sales) ที่ 1.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 2.3 เท่า (เช่น KAMART และ KISS) ราว 34% เนื่องจากกำไรสุทธิ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) และการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ยังอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่ม ขณะเดียวกัน การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ของทั้ง 2 แบรนด์หลักยังอยู่ในช่วงการพัฒนา สะท้อนค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ปี 2568 ที่ประมาณ 17.2 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI คาดผลประกอบการของ SKIN จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 21% ระหว่างปี 2567-2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 21% หนุนจากการคาดการณ์รายได้ที่จะเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจาก 1.) ภาพรวมอุตสาหกรรมสกินแคร์และเครื่องสำอางที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.6% ต่อปี และตลาดผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี 2.) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง 3.) กลยุทธ์การตลาดที่ช่วยกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ และ 4.) การบริหารจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี บล.ซีจีเอสไอ (ประเทศไทย) ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น SKIN ที่ 3.10 บาท/หุ้น โดยอิงค่า P/E ปี 2569 ที่ 16 เท่า ซึ่งถือว่าให้ Premium เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ซื้อขายอยู่ที่ 12 เท่า สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการจากฐานที่ต่ำ ประกอบกับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค และแผนการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศภายในปี 2570
บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA ระบุว่า การระดมทุนของ SKIN จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเสริมโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยอุตสาหกรรม Beauty and Personal Care ยังคงมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.55% (CAGR 2567-2570) จากกระแสการใส่ใจสุขภาพ การเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี ตลอดจนบทบาทของ E-Commerce และเทคโนโลยี ที่ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ลึกขึ้น และสร้างการเข้าถึงสินค้าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
อีกทั้ง SKIN มีแผนใช้เงินระดมทุนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลอดจนใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และต่อยอดการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
บล.ไอร่า ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น SKIN ในปี 2568 ที่ 3.00 บาท/หุ้น โดยอิงวิธี Relative P/E เทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียง เช่น KISS และ KAMART ซึ่งมีค่าเฉลี่ย P/E อยู่ที่ 15.1 เท่า แม้จะใช้อิงค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในการประเมินมูลค่า แต่ AIRA มองว่า SKIN มีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทคู่แข่ง จึงถือว่าหุ้น SKIN มีความน่าสนใจเชิงมูลค่าเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโต
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ระบุว่า หลังการระดมทุนของ SKIN วางกลยุทธ์การเติบโตชัดเจน โดยเตรียมพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ปีละ 5-7 รายการ ครอบคลุมทั้งเครื่องสำอางและเวชสำอางสกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ “Skinsista” และ “Dermie” รวมถึงการเตรียมเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Health Product) ในอนาคต ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ภายในปี 2570 ควบคู่กับการขยายตลาดในประเทศผ่านช่องทาง Modern trade และการเพิ่มสัดส่วนการขายใน E-commerce ให้มากขึ้น
นักวิเคราะห์คาดว่า จากกลยุทธ์ดังกล่าว กำไรสุทธิของ SKIN จะเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 16.18% ช่วงปี 2568-2570 โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.2 ล้านบาท ในปี 2568, 35.8 ล้านบาท ในปี 2569 และ 51.7 ล้านบาท ในปี 2570
ทั้งนี้ บล.บียอนด์ ประเมินราคาเหมาะสมของหุ้น SKIN ที่ 3.02 บาท/หุ้น โดยอ้างอิงค่า PER ปี 2568 ที่ 16 เท่า สะท้อนการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 22.40% ช่วงปี 2565-2570 หนุนจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่หลากหลาย และการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งผ่าน Beauty Stores และ E-commerce
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST คาดมีรายได้รวมปี 2568 ของ SKIN ที่ระดับ 249 ล้านบาท เติบโต 8.54% จากปีก่อนหน้า แรงหนุนจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.) แนวโน้มอุตสาหกรรม Beauty and Personal Care (BPC) ที่คาดเติบโตเฉลี่ย 6-10% ต่อปี (CAGR) แม้ปรับลดลงจากประมาณการของ Euromonitor ที่คาดไว้ 11-12% เนื่องจากยังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรงภายในอุตสาหกรรม 2.) การขยายการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเต็มรูปแบบในปีนี้
3.) การขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทได้เริ่มจำหน่ายสินค้าในเวียดนามผ่านตัวแทนจำหน่าย และมีแผนรุกตลาดจีนในปี 2569 ขณะที่ในประเทศยังเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายผ่าน Beauty Stores เพิ่มขึ้น เพื่อกระจายฐานลูกค้า สำหรับกำไรปกติปี 2568 คาดอยู่ที่ 20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.80% จากปีก่อนที่ทำได้ 19 ล้านบาท
บล.ฟิลลิป ให้ราคาเหมาะสมที่ 3.64 บาท/หุ้น อิงค่า P/E ปี 2568 ที่ระดับ 26.03 เท่า ซึ่งเป็นค่า -0.25SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี โดยเปรียบเทียบกับ P/E ของหุ้น KISS ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และใช้ประมาณการ EPS ปี 2568 ที่ 0.14 บาท/หุ้น ทั้งนี้ แม้อุตสาหกรรม BPC ยังคงเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง แต่ PST มองว่า SKIN มีจุดแข็งจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายในราคาย่อมเยา การขยายธุรกิจสู่การผลิตเครื่องสำอางเต็มรูปแบบ การต่อยอดไปยัง Business Health และการเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์ จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและหนุนการเติบโตในระยะยาว