
PTECH ปรับพอร์ต! มุ่งผลิต “บัตรเครดิต” ควบคู่แตกไลน์ธุรกิจใหม่ เร่งดันผลงานเทิร์นอะราวด์
PTECH ยกเครื่องธุรกิจ ชี้ผลิตบัตรเครดิตยังเป็นรายได้หลัก 90% คาดหนุนแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/68 ฟื้นตัว และปีหน้ามีโอกาสเทริทร์อะราวด์ เตรียมปรับพอร์ตเจาะตลาดบัตรเครดิตอินเดีย พร้อมขยายเข้าสู่ธุรกิจ EMS เน้นผลิตและประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกันพัฒนาป้ายราคาอัตโนมัติ Electronic Price Tag คาดเริ่มจำหน่ายปี 69 เพิ่มช่องทางรายได้และสร้างศักยภาพเติบโตระยะยาว
นายวิเลิศ อรวรรณวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลัส เทค อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTECH เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจว่า ตลอดระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน เสริมศักยภาพบุคลากร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูและพัฒนาองค์กรให้มีความคล่องตัวและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยได้ทบทวนทิศทาง กลยุทธ์ และโครงสร้างการบริหารงานใหม่ทั้งหมด หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทอาจขาดความต่อเนื่องและทิศทางที่ชัดเจนจากการบริหารงานเดิม
“สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเข้ามาบริหารคือการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความเหมาะสม ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายใต้แนวคิด Lean Management โดยยืนยันชัดเจนว่าการลดต้นทุนไม่ได้หมายถึงการปลดพนักงาน เพราะพนักงานของเราทุกคนล้วนมีประสบการณ์และศักยภาพสูง” นายวิเลิศ กล่าว
สำหรับ PTECH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตบัตรเครดิตรายสำคัญของประเทศทั้งบัตร Visa และ MasterCard รวมถึงเป็นผู้นำในการผลิตบัตรพลาสติกประเภทต่างๆ รวมถึงให้บริการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลลงบนบัตร ซึ่งมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง จากการเข้ารับงานในโครงการสำคัญต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน อาทิ
บัตร Rabbit ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บัตรพลาสติกของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ เช่น CardX ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บัตรจากสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงโครงการภาครัฐ เช่น บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ของกรมการปกครอง
ทั้งนี้ จากข้อมูลธุรกิจผลิตบัตรเครดิตในประเทศบริษัทฯ มีมูลค่าตลาด (Market Share) ราว 1,600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯอาจไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ที่สุด แต่มีศักยภาพในการขยายตัวได้อีกมาก โดยเป้าหมายของบริษัทฯ คือการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและรักษาการเติบโตไว้
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจผลิตบัตรเครดิตยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของรายได้รวมในปีนี้ และคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันในปี 2569 แต่บริษัทจะค่อยๆ ปรับพอร์ตให้มีความสมดุลมากขึ้นผ่านการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่อย่าง EMS (Electronics Manufacturing Services) ครอบคลุมการผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มุ่งสู่การเป็น One-Stop EMS Provider ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี
สำหรับรายละเอียดการขยายเข้าสู่ธุรกิจ EMS ขณะนี้ อยู่ระหว่างการนำร่องเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งการขยายเข้าสู่ธุรกิจ EMS ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานการผลิต เครื่องจักร และบุคลากรที่พร้อมอยู่แล้วนอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศรายใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิต EMS ชั้นนำของโลก โดยบริษัทได้เข้าพบและหารือหลายครั้ง เพื่อวางแนวทางความร่วมมือด้านการผลิตในประเทศไทย
“ข้อดีของบริษัท คือ เป็นโรงงานที่มีทั้งคนและเครื่องจักรพร้อมอยู่แล้ว จึงไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก เพียงแค่เพิ่มการฝึกอบรมให้บุคลากร เพื่อรองรับกระบวนการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายวิเลิศกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับป้ายราคาอัตโนมัติ (Electronic Price Tag) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังไม่ค่อยมี เนื่องจากต้นทุนค่อนข้างสูง เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนพลาสติก วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบซอฟต์แวร์ควบคุม ซึ่งบริษัทได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาต้นแบบ (Proof of Concept: POC) ขึ้นมา ปัจจุบันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในปี 2569
สำหรับโครงสร้างรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้านั้น 2569-2570 บริษัทฯ มองว่าธุรกิจหลักอย่างการผลิตบัตรเครดิตยังคงมีความสำคัญ โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้ควรอยู่ในระดับประมาณ 40-50% ของรายได้รวม เนื่องจากเป็นธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญและมีฐานลูกค้า ขณะเดียวกัน ธุรกิจการผลิตบัตรเครดิตสำหรับ ตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันยังอยู่ในระดับไม่เกิน 10% ของรายได้รวม แต่บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนนี้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคตว่าจะเติบโตราว 60% เพื่อให้ตลาดต่างประเทศเติบโตมากกว่าภายในประเทศ
พร้อมยกตัวอย่างช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ตั้งทีมเพื่อขยายช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นให้ทีมพบปะลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย (Agent) สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะตลาดอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพสูง ด้านความต้องการผลิตบัตรของธนาคาร ซึ่งพบว่าข้อมูลธนาคารขนาดใหญ่ในอินเดียบางแห่งมีความต้องการผลิตบัตรมากถึง 80 ล้านใบ
ส่วนในด้านภาพรวมผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้า แม้ยังไม่ถึงขั้นเติบโตโดดเด่น แต่คาดว่าจะ ไม่แย่หลังจากที่ปรับโครงสร้างมาตลอดทั้งปี ซึ่งบริษัทฯ มุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตและบัตรพลาสติก รวมถึงเตรียมต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทขาดทุนสุทธิ 307.73 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 155.82 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจาก บริษัทฯ รายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 74.21 ล้านบาท ลดลง 104.34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 151.63 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจบัตรพลาสติกและบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล